รัฐบาลแห่งชาติ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า ตนไม่เอานายกฯพระราชทาน ไม่เอารัฐบาลแห่งชาติ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมื่อใดก็ตามที่สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองดูเหมือนจะเดินมาถึงทางตัน เรามักจะได้ยินข้อเสนอ 2 ประการลอยมาตามสายลม มาจากไหนก็ไม่ทราบ แต่เมื่อมาแล้วก็ดังอื้ออึงไปทั่ว ไม่นายกพระราชทาน ก็รัฐบาลแห่งชาติ
ทั้งสองสิ่งนี้เป็นเหมือนกับสองหน้าของเหรียญเดียวกัน โดยนายกฯพระราชทาน นั้นมีที่มาในประวัติศาสตร์จากกรณีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีภายหลังวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ในลักษณะที่ไม่สามารถอ้างอิงได้ว่าเป็นมติของผู้แทนราษฎรตามระบบรัฐสภา จึงทำให้เป็นที่เข้าใจในสังคมว่าการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งดังกล่าวเป็นการ พระราชทานมาให้ เช่น การโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 หรือการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคุณอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535
กรณีเช่นนี้ทำให้ต่อมามีผู้ตีความว่านี่คือ “ประเพณีการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ (มาตรา 5 วรรคสอง ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน) ว่าให้นำมาใช้ได้เมื่อไม่สามารถหาบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมาใช้กับกรณีใด ๆ ที่เกิดขึ้นได้แล้ว และเคยถึงกับมีความพยายามถวายฎีกาขอนายกฯพระราชทานต่อพระมหากษัตริย์โดยอ้างประเพณีดังกล่าวมาแล้ว ได้แก่ความพยายามของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในช่วงปี 2549
ส่วน “รัฐบาลแห่งชาติ” นั้นเป็นโมเดลการจัดตั้งรัฐบาลผสมจากทุกพรรคการเมืองในสภาโดยไม่มีฝ่ายค้าน ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวในการนำพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน ทั้งนี้ในการหาผู้ที่จะมาเป็นผู้นำของรัฐบาลแห่งชาติมักเลือกจาก “คนกลาง” ซึ่งอาจเป็น (หรือนับว่าเป็น) นายกฯพระราชทานด้วยก็ได้
ทั้งสองข้อเสนอนี้ หลายท่านอาจเห็นแล้วว่าเป็นเสมือนการ “ย้อมแมวขาย” แต่ผมเห็นว่ามันแย่กว่านั้น เพราะนี่คือการ “ย้อมเสือให้เป็นแมว” พยายามเปลี่ยนสิ่งที่เนื้อแท้แล้วอยู่นอกเหนือระบอบประชาธิปไตยให้กลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ โดยอ้างความจำเป็นต่อสถานการณ์
การตั้งนายกพระราชทานนั้นไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นประเพณีการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะโดยสาระสำคัญแล้วไม่ได้มีความเป็นประชาธิปไตย ไม่ได้มีความยึดโยงกับประชาชน เพราะไม่ได้มีการให้ความเห็นชอบโดยผู้แทนราษฎรเลยแม้แต่คนเดียว อาจเรียกได้ว่าเป็นเผด็จการด้วยซ้ำ เพราะมีที่มาจากการแต่งตั้งโดยบุคคลเพียงคนเดียว
มากไปกว่านั้น การแปะป้าย “พระราชทาน” ยังเท่ากับเป็นการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นผู้ใช้อำนาจทางการเมืองโดยตรง เป็นการล่วงละเมิดต่อระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญอีกด้วย
และถึงที่สุดแล้ว หากเราย้อนกลับไปพิจารณาตั้งแต่ต้นว่าข้อเสนอนายกฯพระราชทาน – รัฐบาลแห่งชาตินั้นมักจะเกิดขึ้นเมื่อประเทศมาถึง “ทางตัน” เราจะพบว่าทางตันที่ว่านี้มักเป็นทางตันในสายตาของผู้ที่เข้ามายึดกุมอำนาจโดยวิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย คือตันเพราะไม่รู้จะไปต่อยังไงให้ฝ่ายตัวเองยังกุมอำนาจต่อไปได้ ในขณะที่หากเป็นในมุมมองของประชาชนแล้ว พวกเขามีทางออกตามวิถีทางประชาธิปไตยเสมอ หากรัฐบาลไปต่อไม่ได้ ก็ควรลาออก หรือยุบสภา เพื่อคืนการตัดสินใจให้กับประชาชนอีกครั้ง เท่านั้นเอง
ฉะนั้นแล้วผมขอเป็นอีกหนึ่งเสียงที่จะร่วมเรียกร้องว่าประเทศไทยเรานั้นไม่ต้องการนายกฯพระราชทาน ไม่ต้องการรัฐบาลแห่งชาติ ขอให้ทกฝ่ายในสังคมแก้ปัญหาตามครรลองประชาธิปไตย และถ้าสุดท้ายจะยังมีใครดันทุรังให้เกิดนายกฯพระราชทาน – รัฐบาลแห่งชาติขึ้นมาให้ได้ ผมและพรรคก้าวไกลขอยืนยันว่าเราจะเป็นฝ่ายค้านให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคนเองครับ