เลือกตั้งสหรัฐ นายจักรพงษ์ แสงมณี กรรมการบริหาร และทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังจากนายโจ ไบเดน คว้าชัยชนะจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในครั้งนี้มาได้ เตรียมขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งนโยบายเศรษฐกิจ และนโยบายต่างประเทศของนายโจ ไบเดน แตกต่างจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีนโยบายการเงินและการคลังที่หนักหน่วง เศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 และคาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวในปี 2564 ไม่น้อยกว่ากว่าร้อยละ 3 พร้อมกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบเงินสกุลอื่นๆ
ขณะที่ นายไบเดนมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศผ่านการลงทุน เพื่อให้สามารถมีอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 3 ให้ได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหมายถึงการส่งออกของสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ จะมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวได้สูงถึงร้อยละ 10-12
แม้ว่าทำเนียบขาวจะได้ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ จากพรรคเดโมแครต ที่มีแนวโน้มจะมีนโยบายที่เอื้อประโยชน์ทางการค้าต่อนานาชาติ และมีแนวโน้มว่านโยบายต่างประเทศจะสามารถคาดการณ์ได้มากขึ้น บรรยากาศที่ดีในการลงทุนของภาคเอกชน ควรจะเริ่มมีให้เห็น แต่หากรัฐบาลไทยนิ่งเฉยต่อโอกาสและความท้าทายที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ โดยไม่รีบติดอาวุธให้ธุรกิจของไทยโอกาสก็จะหลุดลอยไป ดังนั้น อาวุธสำคัญที่รัฐบาลต้องใส่ใจมี 4 ประการ คือ
เร่งเจรจาข้อตกลงทางการค้าการลงทุน ทั้งทวิภาคี และพหุภาคี โดยเร่งเจรจา ข้อตกลงเขตการค้าเสรีทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป เพื่อลดอุปสรรค และสร้างความได้เปรียบทางการค้าการลงทุน ซึ่งเมื่อการเจรจาสำเร็จเสร็จสิ้น ย่อมเป็นแท่นกระโดดสำคัญของธุรกิจทั้งการค้าและการลงทุนของไทย
รัฐบาลมีหน้าที่ทำงานใกล้ชิดกับธนาคารแห่งประเทศไทยให้มีนโยบายการเงินที่สนับสนุนผู้ประกอบการ ให้สามารถแข่งขันได้ ตั้งแต่การเตรียมแหล่งสินเชื่อ ให้เพียงพอแก่ภาคธุรกิจที่คาดว่าจะได้อานิสงส์ ไปจนถึงการมีเสถียรภาพ และระดับของค่าเงินบาทที่เอื้อต่อบรรยากาศทางการค้าและการลงทุน
การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแก่ภาคเอกชนด้วยการยกเลิก และปรับปรุง กฎหมาย และการอนุญาตที่ไม่เหมาะสมให้อำนายความสะดวกและลดต้นทุนได้ถึง 130,000 ล้านบาทต่อปี ตามที่ TDRI เสนอแนะส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีทั้งในภาครัฐและเอกชนเพื่อประสิทธิภาพ และความโปร่งใส โดยโอกาสกำลังเข้ามา แต่ประเทศอื่นก็มองเห็นโอกาสนี้เช่นกัน