“พิชัย นริพทะพันธุ์”อัดรัฐบาลใช้ พรก.ฉุกเฉิน ปิดปากประชาชนและมุ่งใช้กับคนเห็นต่าง แนะหยุดทำพฤติกรรมเหมือนในอดีตได้แล้ว
เมื่อวันที่ 12 เม.ย. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า ตามที่ตนได้เตือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่าอย่านำมาใช้เพื่อจัดการกับผู้ที่เห็นต่าง และรัฐบาลได้ส่งคนออกมาตอบโต้กับตน พร้อมทั้งยืนยันว่าจะไม่ทำอย่างเด็ดขาด แต่ยังไม่ทันไร รัฐบาลกลับส่งอีกคนออกมาข่มขู่ประชาชน โดยห้ามประชาชนโพสต์หมิ่นรัฐบาล มิเช่นนั้นจะโดนดำเนินคดีตามมาตรา 136 มีโทษขั้นสูงจำคุก 1 ปี หรือปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เท่ากับเป็นการปิดปากประชาชน ห้ามวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลใช่หรือไม่ ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมารัฐบาลได้บริหารงานผิดพลาดมาโดยตลอด การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเป็นสิทธิของประชาชนที่จะทำได้ตามระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นการข่มขู่ประชาชนจึงไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำ และสวนทางกับที่รัฐบาลได้เคยยืนยันไว้เอง
นอกจากนี้ ยังมีการจะดำเนินคดีกับเพจแหม่มโพธิ์ดำ ทั้งที่เพจนี้เป็นคนเริ่มเปิดเผยการทุจริตและการกักตุนหน้ากากอนามัย แทนที่รัฐบาลจะต้องขอบคุณเพจแหม่มโพธิ์ดำนี้ ที่ช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องการทุจริตและรัฐบาลควรจะต้องหาผู้กระทำผิดที่ทำให้หน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้นหายไปมาลงโทษ ซึ่งถึงตอนนี้ก็ยังหาผู้กระทำผิดไม่ได้ แต่กลับมาเอาผิดและดำเนินคดีกับเพจแหม่มโพธิ์ดำที่เปิดเผยการทุจริต เหมือนต้องการปิดปากไม่อยากให้มีการเปิดเผยการทุจริต นับเป็นเรื่องที่ประชาชนรับไม่ได้อย่างมาก
อีกทั้ง รมว.พาณิชย์ ยังได้แจ้งความดำเนินคดีกับคนที่เปิดเผยข้อมูลหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้นที่หายไป โดยยังไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลการส่งออกหน้ากากอนามัยและใบอนุญาตส่งออกหน้ากากอนามัยทั้งหมดตามที่ตนเรียกร้องแต่อย่างใด การอ้างว่าเป็นสิทธิตาม BOI หรือ อ้างลิขสิทธิ์เพื่อส่งออกในภาวะวิกฤตไม่น่าจะใช่เหตุผล เพราะที่ไต้หวันเองก็สั่งห้ามส่งออกหน้ากากอนามัยทั้งหมดตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และล่าสุดสหรัฐก็สั่งห้ามบริษัท 3M ส่งหน้ากากอนามัย N 95 ไปให้ประเทศอื่น นอกจากจะส่งใช้ในประเทศสหรัฐเท่านั้น เป็นต้น ซึ่งถ้าไม่มีการเปิดเผยเอกสารการอนุญาตส่งออกหน้ากากอนามัยออกมา ป่านนี้ก็น่าจะยังคงส่งออกกันอยู่ โดยเป็นห่วงว่าข้าราชการที่นำเอกสารนี้มาให้ตนเปิดเผยจะโดนเล่นงานเช่นกัน
แม้กระทั่งเรื่องการแจก 5,000 บาท ก็มีความพยายามที่จะดำเนินคดีกับผู้ที่เปิดเผยว่ามีคนได้รับทั้งที่มีฐานะดี แต่คนลำบากกลับไม่ได้รับ แทนที่จะไปแก้ไขระบบการจ่ายเงินที่อ้างว่าใช้ Ai กลั่นกรอง แต่กลับมีการแจกเงินอย่างผิดพลาดมาก การที่ประชาชนเปิดเผยอาจจะต้องการชี้ให้เห็นว่าระบบคัดกรองของรัฐบาลที่มีปัญหา ซึ่งรัฐบาลควรจะต้องนำไปปรับปรุงแก้ไขมากกว่าจะปิดปากคนเปิดเผย เพราะมีประชาชนที่ลำบากเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเพราะระบบคัดกรองของรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินคดีกับ ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่ออกมาเปิดเผยการบริจาคเงินเข้ามูลนิธิป่ารอยต่อ ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ตนเองก็เคยถามรัฐบาลหลายครั้ง เรื่องข้อมูลที่ได้รับว่าบริษัทญี่ปุ่นหลายบริษัทที่ลงทุนในประเทศไทยถูกบังคับให้บริจาคเงินเข้ามูลนิธิเพื่อนำไปใช้หาเสียง ซึ่งรัฐบาลยังไม่เคยให้คำตอบในเรื่องนี้แต่อย่างใด โดยเรื่องนี้ทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นเบื่อหน่ายและไม่อยากมาลงทุนในประเทศไทย
ดังนั้นจะเห็นได้ว่ารัฐบาลยังคงติดนิสัยการปิดปากประชาชนเพื่อปกปิดความผิดพลาดของรัฐบาล ซึ่งเป็นมาตั้งแต่ในอดีต หากจำกันได้ ขนาดนักศึกษาเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ยังถูกจับ คนอยากเลือกตั้งก็โดนฟ้อง เพจ CSI LA เปิดเผยเรื่องนาฬิกาก็โดนฟ้อง ขนาดวิจารณ์เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ก็ยังถูกเรียกปรับทัศนคติและถูกฟ้อง ทั้งที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาตลอดตั้งแต่ก่อนมีการระบาดของไวรัสโควิด-19แล้ว เป็นต้น
“รัฐบาลต้องเลิกแนวคิดที่จะปิดปากประชาชน และปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นเหมือนในอดีตได้แล้ว และที่ผ่านมาการปิดกั้นความคิดเห็นกลับทำให้รัฐบาลบริหารงานได้อย่างย่ำแย่ ในหลายกรณีหากไม่มีเสียงท้วงติง รัฐบาลก็ยังคลำหาทางออกไม่เจอ และเป็นห่วงว่าในอนาคตหากมีเรื่องการทุจริตในการอัดฉีดเงิน 1.9 ล้านล้านบาทที่รัฐบาลจะใช้ฟื้นเศรษฐกิจ ผู้เปิดเผยการทุจริตจะถูกดำเนินคดีอีกหรือไม่ และอาจจะไม่มีใครกล้าเปิดเผยเรื่องทุจริตอีก ทั้งนี้การที่รัฐบาลใช้เงินจำนวนมหาศาลโอกาสจะเกิดการทุจริตก็เป็นไปได้สูง อีกทั้งอาจจะมีการใช้จ่ายเงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพและอาจมีการเอื้อประโยชน์แก่คนบางกลุ่มด้วย” นายพิชัย กล่าว