โค้งสุดท้าย! พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ย้ำอีกครั้ง กรณี จุดยืนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตย์
เรียกได้ว่าบรรยากาศการเมืองที่ผ่านมา นั้นเดือดระอุ และประชาชนทุกเพศทุกวัยนั้นให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่การเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. 66 ที่ผ่านมานั้น เป็นเวลากว่า 2 เดือน ที่คนไทยทั้งประเทศเฝ้ารอคอยการเลือก นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ซึ่งอย่างที่ทราบกันดี ว่าถึงแม้ 8 พรรคร่วมรัฐบาล นั้นจะมีปากเสียงและถกเถียงกันในประเด็นของ ประธานสภา และด้วยตัวของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เองก็ได้โดนร้องเรียนจากหลายฝ่ายทั้งประเด็นของ การแก้ไขมาตรา 112 และประเด็นของ หุ้นสื่อไอทีวี ที่นายพิธา ได้ถืออยู่ในฐานะผู้จัดการมรดก
ทั้งนี้ วันที่ 13 ก.ค. 66 เวลาประมาณ 15.30 น. เรียกว่าเป็นโค้งสุดท้ายก่อนการ โหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย โดย นายพิธา นั้นได้กล่าวปิดท้ายการอภิปรายว่า
พิธาอภิปรายก่อนโหวตนายก
อยากจะชวนทุกท่านครับ อย่ามองกันยาวๆ อย่างเดียว ต้องมองกลับไปในอดีตด้วย มองถึงวันปัจจุบัน มองไปถึงอนาคตด้วย ว่าถ้าเกิดเรานับถึงย้อนหลังไปถึงปี 2549 เป็นจุดหมายสำคัญเหลือเกินครับในฐานะจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งในสังคมไทยเราจะเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของคนบางกลุ่มมาตั้งแต่เวลานั้นเพื่อล้มรัฐบาลเลือกตั้งถึงสองครั้ง
มีหลายกลุ่มหลายแทรกแซง ในการเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องการให้จัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะเขากำลังจะเสียผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นสังฆทานไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจ ก็จงใจที่จะดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง แล้วก็จากสงครามกับการลงคะแนนเสียงของประชาชนในวันที่ 14 พฤษภาคม วันนี้ผมถึงอยากที่จะเชิญชวนวิญญูชนครับ ให้มีสติไตร่ตรองให้ดี ว่าการทำเช่นนี้ มีราคาและมีต้นทุนอย่างไรกับสังคม
ท่านประธานครับผมเชื่อว่าถ้าไม่มีใครชูคำขวัญ เราจะสู้เพื่อในหลวงเพื่อโค่นล้มรัฐบาล ถ้าไม่มีใครก่อรัฐประหาร ถ้าไม่มีใครเอาเรื่องล้มล้างสถาบันมาปลุกปั่นทางการเมืองเกี่ยวกับ ม.112 ในสังคมไทยคงไม่มาถึงจุดนี้
ถึงเวลาแล้วครับที่พวกเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหม่อย่างมีวุฒิภาวะ แก้ปัญหาที่ต้นตอในการยุติการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นประเด็นการเมืองแล้วหากุศโลบายครับ เพื่อที่จะพัฒนารักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชน
การสร้างสันติภาพในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การแก้ไขปรับปรุงมาตรา 112 หรืออื่นๆ มาหาข้อยุติร่วมกันโดยใช้กระบวนการในสภาฯหรือกลไกทางประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นการประทะกันบนท้องถนน เราต้องบริหารจัดการความเห็นต่างไม่ให้กลายเป็นความขัดแย้ง ด้วยการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก และทำให้เรามีระบบนิติรัฐ มีระบบกฎหมายที่ดีในกระบวนการยุติธรรมที่ทุกคนเสมอภาคเท่าเทียมกัน ทำให้การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ เป็นเป้าหมายหลักของรัฐและความมั่นคงของชาตินั่น ก็คือความมั่นคงของประชาชน ไม่ใช่มองประชาชนเป็นศัตรูของชาติ
นี่ไม่ใช่การลงมติเลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ใช่การลงมติเลือกพรรคก้าวไกล แต่คือการเลือกให้โอกาสกับอนาคตประเทศไทย ให้ประเทศได้เดินทางต่อตามฉันทามติที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้ตัดสินใจแล้ว นี่คือการตัดสินประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่ผมไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว ต้องอาศัยการตัดสินใจของสมาชิกรัฐสภาที่ยึดหลักการ กล้าหาญ และเห็นแก่อนาคตของชาติที่มีประชาชนเป็นหัวใจผมขอเชิญชวนทุกท่าน อย่าให้ความคลางแคลงใจที่ท่านมีต่อผม ขวางกั้นประเทศไทยไม่ให้เดินหน้าต่อตามเสียงและเจตนารมณ์อันแรงกล้าของประชาชนมาร่วมกันเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยกัน


ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่น ๆ
Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY