พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เปิดใจในวันครบรอบวันคล้ายวันเกิด 74 ปี ว่า ตนอยากเห็นประเทศชาติมีความเรียบร้อย และมีความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี แต่ปัญหาที่เป็นไปไม่ได้คือระบบการปกครองของเราที่ไม่เดินตามช่องทางที่ควรจะเป็น และสังคมไทยยังมีอะไรหลายอย่างที่เป็นเรื่องที่น่าศึกษา ดังนั้นต้องจัดระเบียบสังคมให้เข้าร่องเข้ารอย
การทำงานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ หลังบริหารงานมาย่างเข้าปีที่ 7 นั้น อยากให้นำบทเรียนทางทหารมาประยุกต์ใช้กับบทเรียนทางการเมือง และต้องกลับมาคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้อะไรคือจุดที่ทำให้มองเช่นนั้น เช่นเรื่องความยุติธรรมเป็นอย่างไร ซึ่งก็ต้องเห็นใจว่ากระบวนการยุติธรรม พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่ผู้ที่โดนตัดสินก็จะมองความยุติธรรมในเชิงลบ ดังนั้นกระบวนการยุติธรรมต้องจัดรูปแบบใหม่ เพื่อแสดงออกให้เห็นถึงกระบวนยุติธรรม ที่ประชาชนสัมผัสได้
ส่วนปรากฏการณ์ที่เยาวชนออกมาชุมนุมนั้น ถือเป็นธรรมชาติของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่มีความคิดไม่เหมือนกัน เป็นเรื่องปกติ แต่อย่าไปโทษว่าคนที่คิดต่างจากเราแล้วเขาผิด ต้องดูว่าความคิดของเด็กกับผู้ใหญ่ แตกต่างกันตรงไหนเพียงแต่ผู้ใหญ่ต้องหันกลับมามองว่าแนวคิดว่าเด็กกำลังคิดอะไร อย่าไปคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดถูก ต้องมองว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ทันกับสิ่งที่เด็กคิดได้หรือไม่
เมื่อถามข้อข้อเรียกร้องกลุ่มชุมนุมเรื่องสถาบัน พล.อ.สนธิ ระบุว่า โลกนี้มีการปกครอง 3 แบบ คือประชาธิปไตย เผด็จการ และสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ประเทศเราอยู่มาเป็นพันปีเป็นประเทศไทยได้เพราะสถาบันที่เป็นหลัก ๆ ทำให้ประเทศคงอยู่จนเป็นสยามและไทยในวันนี้
สถาบันมีบุญคุณกับแผ่นดิน ถือเป็นปูชนีย์ทางความคิด เป็นสิ่งที่ต้องยึดเอาไว้ แต่เราต้องมามองว่าประชาธิปไตยและสังคมนิยมจะเอาแบบไหน ตนมองว่าในระบบประชาธิปไตยและสังคมนิยมต่างก็มีข้อดีและข้อเสีย
จึงเสนอการปกครองประชาธิปไตยแบบไทย ๆ และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งนี้เด็กรุ่นใหม่อาจจะมองสถาบันมีประโยชน์ไม่มาก แต่จริง ๆ แล้วให้ย้อนไปในอดีตว่าสถาบันได้สร้างอะไรให้กับประเทศไทยบ้าง เป็นบุญคุณและกตัญญู
สถานการณ์การเมืองว่าปี 2549 ต่างจากปัจจุบันอย่างไร พล.อ.สนธิ กล่าวว่า สถานการณ์ในแต่ละห้วงไม่เหมือนกัน จะเอาเหตุการณ์ในเวลาหนึ่ง มาเปรียบเทียบในอีกเวลาหนึ่งไม่ได้ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้มีองค์ประกอบไม่เหมือนกัน แต่ปัญหาที่บ่นกันมากคือเรื่องคอร์รัปชั่น
ตนมองว่ารัฐบาลกำลังเผชิญปัญหาหลายอย่าง ทั้ง โควิด-19 ที่นำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจและก็นำไปสู่ปัญหาความยากจน และความไม่พอใจก็จะเกิดขึ้น ประเทศใดก็ตาม หากการปกครองที่มีทำให้ประชาชนเดือดร้อนยากจน รัฐบาลสะเทือน ซึ่งวันนี้ไม่ใช่สะเทือนแค่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แต่เป็นทั้งโลก
ส่วนข่าวรัฐประหารในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา นั้น ไม่เชื่อว่าจะมีรัฐประหาร เพราะปัญหาของความขัดแย้งในประเทศก็รุนแรงพอแล้ว ดังนั้นวิธีแก้ก็มีวิธีการอยู่ ไม่จำเป็นต้องมีรัฐประหาร เพราะไม่เชื่อว่าการปฏิวัติจะใช้แก้ไขปัญหาได้ในเวลานี้
ซึ่งมันหนักกว่าเมื่อปี 2549 เนื่องจากวันนี้ความขัดแย้งสองฝ่ายแย่กว่าเก่า และปฏิบัติจะไม่มีทางสำเร็จ ดงนั้นต้องแก้ไขปัญหาตามที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ ซึ่งถูกต้องแล้ว แต่ต้องอดทนและทำความเข้าใจให้ทุกกลุ่มหันกลับมาคิดและช่วยกัน
ส่วนกรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการพัฒนาหรือลดบทบาทของตัวเองอย่างไรบ้าง พล.อ.สนธิ ระบุว่า นายทักษิณอายุอ่อนกว่าตน 3 ปี ปัจจุบันก็ 70 กว่าปีแล้ว ซึ่งก็ต้องมองว่าจะมีความสุขกายสุขใจอย่างไร คงไม่คิดจะสู้ไปถึงปานนั้น ตนคิดว่าคนรุ่นใหม่ที่มีการขับเคลื่อนในทุกวันนี้กำลังมีบทบาทมากกว่า และน่าจะเกิดกับคนรุ่นใหม่
เมื่อถามว่า มองการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร พล.อ.สนธิ ระบุว่า ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะว่าได้ทำประชามติเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่จะต้องมองว่าถึงเวลาหรือยัง เหมาะสมหรือไม่และจะแก้ประเด็นไหน หรือแก้ได้มากน้อยอย่างไรต้องมานั่งคิดดูรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ นี่คือข้อสำคัญ ซึ่งต้องทำเพื่อประโยชน์ของประชาชน
เมื่อถามว่าตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบันนายทักษิณได้ติดต่อมาหรือไม่ พล.อ.สนธิ ระบุว่า “ถ้าคุณทักษิณเจอผมเขาจะเรียกพี่” เมื่อถามย้ำว่า ได้ติดต่อกันหรือไม่ พล.อ.สนธิ ระบุอีกว่า “ไม่ ซึ่งไม่ได้ติดต่อกันอย่างนั้น แต่เจอกันด้วยกรณีใดก็ตามเขาจะเรียกว่าพี่บัง เขาก็ยังเรียกพี่อยู่
และไม่เคยรื้อฟื้นอดีตมาพูดคุยกัน เขามีมารยาท เป็นผู้ใหญ่ คุยโทรศัพท์ครั้งแรกหลังผมปฏิวัติท่านก็บอกว่า ผบ.ทบ. ตัวผมเป็นนักกีฬา หมายความว่ารู้แพ้รู้ชนะ ท่านทักษิณพูดแค่นี้ เข้าใจชัดว่าเกมจบแล้ว ผมมองว่าท่านก็เป็นสุภาพบุรุษ เราจบเตรียมทหารมาด้วยกัน เป็นพี่เป็นน้องตัดกันไม่ขาด จะเกลียดกันแค่ไหน เดี๋ยวก็ดีกัน”
เมื่อถามว่า อยากฝากอะไรผ่านสื่อไปยังนายทักษิณหรือไม่ พล.อ.สนธิ ระบุว่า “ไม่เป็นอะไร ท่านสบายดีกว่าผม เราต้องศึกษาท่านทักษิณว่าทำอย่างไรจึงหนุ่ม ท่านมีอะไรดี ผมกำลังจะหาวิธีเพื่อตามท่านให้ทัน”