นาย เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส. พรรคก้าวไกล เผยความคืบหน้าในกรณีที่มีผู้ประกอบการสุรารายย่อยและประชาชนได้รับหนังสือเรียกจากสำนักงานคณะกรรมการควบคุมโฆษณาแอลกอฮอล์เป็นจำนวนมาก จนเป็นข่าวในสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยในวันที่ 17 มิถุนายน 2563 ทางผมและพรรคก้าวไกลได้ช่วยประสานงานให้กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบเข้ามาชี้แจงสภาพรวมของสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้นโดยตรงต่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งในวันนี้ได้เชิญองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา และกรมควบคุมโรคซึ่งเป็นคู่กรณีเข้ามาชี้แจงในประเด็นมาตรการที่ใช้บังคับว่ามีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใดในสายตาของผู้ใช้กฎหมาย
โดยกลุ่มตัวแทน ผู้ประกอบการและประชาชน ได้มีข้อเสนอแนะไว้ดังนี้
- การร่างกฎหมายควรจะมีการหารือร่วมกันระหว่างผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และกลุ่มรณรงค์งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ใช่บังคับใช้ร่างกฎหมายที่มีที่มาจากมุมมองของกลุ่มรณรงค์ฯเพียงฝ่ายเดียว
- กฎหมายที่บังคับใช้ ไม่ควรเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนที่จะเกิดขึ้นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม อันเป็นผลประโยชน์ของชาติในอนาคต
- สำหรับแนวคิดที่อธิบายว่ากฎหมายฉบับนี้ต้องการปกป้องเยาวชน ทางกลุ่มชี้แจงว่า สินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น มีกฏหมายควบคุม และจำกัดการเข้าถึงสินค้าอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดเวลาซื้อขาย และการห้ามจำหน่ายให้คนอายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งกฏหมายเหล่านี้เป็นการป้องกันเยาวชนในตัวอยู่แล้ว
- ขอยืนยันว่า ผู้ค้ารายย่อยเห็นด้วยกับหลักการที่ว่าสินค้าเหล่านี้ จำเป็นที่จะต้องมีการควบคุม แต่ขอแสดงความไม่เห็นด้วยที่จะห้ามขายออนไลน์แบบเหมารวม โดยทางผู้ประกอบการ ยินดีที่จะให้มีการลงทะเบียนผู้ขายอย่างถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ในขั้นตอนการรับสินค้าหรือการสั่งซื้อนั้น ก็มีวิธีการที่หลากหลายในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ซื้อเช่นกัน
อีกทั้งการขายออนไลน์ ยังเป็นทางเลือกให้คนที่ไม่อยากออกไปดื่มนอกบ้าน เพื่อการลดปัญหาเมาแล้วขับหรืออุบัติเหตุที่เกิดจากการเดินทาง ซึ่งเป็นที่กังวลของสังคมได้ด้วย
ปัจจุบันมีผู้ได้รับหมายเรียกจาก สนง.ควบคุมการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้เข้าไปชี้แจงที่กระทรวงสาธารณสุข(นนทบุรี) เป็นจำนวนมาก
โดยมีข้อสังเกตว่า ไม่ว่าผู้ถูกหมายเรียกจะกระทำผิดในพื้นที่ใดในประเทศไทย ก็ต้องเดินทางเข้ามาให้ข้อมูลและรับทราบข้อกล่าวหาที่ส่วนกลาง ก่อให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก และไม่เข้ากับหลักการดำเนินคดีที่เป็นธรรม
ส่วนด้านสำนักงานและกรมควบคุมโรค ซึ่งรับผิดชอบการบังคับใช้กดหมาย ได้ตอบคำถามไว้ ดังนี้
- การที่ต้องเริ่มต้นการดำเนินคดีด้วยการปรับที่ 50,000 บาท ซึ่งเป็นค่าปรับขั้นต่ำนั้น เพราะตามกฎหมายที่บังคับใช้อยู่นั้น ผู้บังคับใช้ไม่มีอำนาจลงโทษรูปแบบอื่น เช่นการตักเตือน ดังนั้น หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ด้วยการจับปรับ ผู้บังคับใช้กฎหมายก็จะมีความผิดเสียเอง และจะโดนโทษเรื่องการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
- วัตถุประสงค์ของตัวกฎหมายคือเพื่อลดปริมาณผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่จากที่ประชุมในชั้นกรรมาธิการวันนี้พบข้อมูลว่า ปริมาณการขายแอลกอฮอล์ของไทยเพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557-2560 ซึ่งหลังจากปี พ.ศ.2560 ปริมาณการดื่มลดลง สาเหตุเพราะว่ามีการขึ้นภาษีแอลกอฮอล์ ดังนั้น จึงยังไม่มีข้อมูลชี้ชัดว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้สามารถลดปริมาณผู้ดื่มได้จริง ทางกรมควบคุมโรคจึงได้ขอส่งเอกสารมาชี้แจงเพิ่มเติมในภายหลัง
- การโพสต์รูปถ่ายกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทางกรมควบคุมโรคยืนยันว่าสามารถทำได้ หากไม่ได้เป็นไปเพื่อการค้า การโฆษณา ส่งเสริมการขาย หรือมีการบรรยายสรรพคุณของเครื่องดื่ม ซึ่งก็มีการถกเถียงว่า การบรรยายว่าสุราตัวนี้มีส่วนผสมของถั่ว เพื่อให้ผู้ดื่มทราบว่า ถ้าท่านแพ้ถั่วควรหลีกเลี่ยง ถือเป็นการส่งเสริมการตลาดหรือไม่? ทำได้หรือไม่?หรือในกรณีของเหล้าจินควรสั่งควบคู่กับโทนิค เพราะต้องกินคู่กัน ถือเป็นการจัดโปรโมชั่นหรือไม่ ?ซึ่งทั้งนี้นั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาต้องชี้แจงจนสิ้นข้อสงสัยจึงจะพ้นผิด
- ในประเด็นเงินสินบนสำหรับผู้แจ้งการกระทำความผิดนั้น ทางสำนักงานยืนยันว่ามีการจ่ายจริงตามระเบียบกระทรวงการคลังฉบับที่ 9 ที่ได้ให้อำนาจไว้ โดยในค่าปรับ 100% นั้นจะต้องนำส่งเข้าคลัง 40% นำไปสะสมเป็นกองทุนสำหรับสนับสนุนการปฏิบัติงานของสำนักงานอีก 15% เป็นเงินรางวัลนำจับให้แก่เจ้าหน้าที่ที่มีส่วนร่วมในการทำงาน คณะกรรมการผู้สั่งปรับและตัวหน่วยงานรวมแล้ว 30% เหลือเป็นเงินสินบนนำจับจ่ายให้กับผู้แจ้งที่พบเห็นการกระทำความผิด 15%
อย่างไรก็ดี ผมในฐานะกรรมาธิการได้เสนอว่าควรมีเวทีรับฟังความคิดเห็นของทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายผู้ได้รับผลกระทบจากตัวกฎหมายนี้และฝ่ายเจ้าหน้าที่ เพื่อที่จะหาจุดกึ่งกลางและทางออกที่เป็นไปได้สำหรับปัญหานี้ครับ