วันที่ 24 กรกฎาคม 2563 นาย พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่าการส่งออกเดือนมิถุนายนมีทิศทางที่จะติดลบหนักอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่การส่งออกเดือนพฤษภาคมติดลบแล้วถึง – 27.9 % ทั้งนี้เพราะการส่งออกรถยนต์ที่เป็นอุตสาหกรรมหลักของไทย ในเดือนมิถุนายนลดลงถึง – 48.71% อีกทั้งการท่องเที่ยวที่แทบไม่มี การลงทุนที่หายไปเกือบหมด บริษัทห้างร้านจำนวนมากที่ต้องปิดตัว มีคนตกงานแล้ว 3.39 ล้านคนและกำลังว่างงานกันถึง 8 ล้านคนในไม่ช้า แสดงถึงภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อย่างหนัก ซึ่งเป็นความจริง 1 ใน 9 ข้อตามที่ตนได้เตือนพลเอกประยุทธ์ไว้แล้ว แต่พลเอกประยุทธ์กลับไม่รับฟังและยังส่งโฆษกรัฐบาลออกมาตอบโต้แบบมั่วๆ แถมยังอ้างว่าความนิยมของพลเอกประยุทธ์ยังดีมาก ซึ่งหลังจากตอบโต้ได้ไม่ทันไร ความนิยมของพลเอกประยุทธ์กลับยิ่งทรุดหนักลงไปอีก โดยดูได้จากผลมาจากการชุมนุมของนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะเกิดรวมแล้วกว่า 20 จังหวัดทั่วประเทศ เหมือนไฟลามทุ่ง เพื่อขับไล่พลเอกประยุทธ์ ซึ่งความไม่พอใจของนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ที่เพิ่มขึ้นและจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อย ๆ นี้ ตนก็ได้เตือนพลเอกประยุทธ์ไว้ก่อนแล้วเช่นกัน
“ตนอยากให้ พลเอกประยุทธ์ ได้กลับไปศึกษาความจริง 9 ข้อที่ตนได้เตือนไว้ เพราะจะเป็นจริงเหมือนที่ตนเคยเตือนทุกครั้ง โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทรุดหนักจริงมาตลอด และจะฟื้นได้ยากมาก ดังนั้น การปรับ ครม. เศรษฐกิจ ครั้งนี้
จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่ พลเอกประยุทธ์ จะได้แก้ตัว ซึ่งเชื่อว่าจากรายชื่อบุคคลที่ปรากฏออกมาตามหน้าสื่อ การปรับ ครม. ครั้งนี้ จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ เพราะปัญหาเศรษฐกิจได้สะสมมานานกว่า 6 ปีแล้ว และความมั่นใจในตัวผู้นำไม่เหลือแล้ว ชื่อชั้นของบุคคลที่จะเข้ามาดูแลเศรษฐกิจกลับแย่กว่าบุคคลที่ถูกปรับออกไปเสียอีก เมื่อเทียบกับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หรือ ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ที่ถูกเปลี่ยนไปก่อนหน้านี้ แต่ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันกลับทรุดหนักกว่าในอดีตมาก และถ้า รมต. คนนอกฉลาดพอ ก็ควรจะต้องถอนตัวก่อนที่จะเสียคนเหมือนที่นายสมคิดเสียคนและเสียเครดิตเสียชื่อเสียงจนหมดสิ้นไปแล้ว อีกทั้งยังถูกด่าถูกไล่แบบหมดสภาพ” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า ครม. เศรษฐกิจใหม่ นอกจากจะต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่หนักหน่วงแล้ว ยังต้องเผชิญกับการประท้วงของนักศึกษา และคนรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นทั้งประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นข่าวไปทั่วโลกแล้ว รัฐบาลจะสร้างความมั่นใจให้กลับมาได้อย่างไร ซึ่งตามข่าวหาก นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ถอนตัวจริงก็ต้องถือว่า นายไพรินทร์ ฉลาดมาก และตัดสินใจถูกต้องแล้ว ทั้งนี้ แทนที่พลเอกประยุทธ์จะระวังไม่ให้ความนิยมที่แย่อยู่แล้วต้องแย่ลงไปอีก พลเอกประยุทธ์กลับอนุญาตให้กองทัพซื้อเครื่องบินสำหรับรับรอง VIP ในราคา 1,348.5 ล้านบาท ในขณะที่ประชาชนกำลังอดอยากและลำบากกันอย่างมาก ซึ่งไม่ใช่แม้แต่จะเป็นเครื่องบินรบ แค่เป็นเครื่องบินเพื่อความสะดวกสบายของ VIP กองทัพเท่านั้น
นายพิชัย กล่าวอีกว่า การขยาย พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ออกไปอีก และถึงแม้จะอ้างว่าไม่ห้ามการชุมนุม แต่มีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และ ครู อาจารย์ เข้าข่มขู่นักศึกษาและครอบครัว เพื่อไม่ให้จัดการชุมนุม ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้ยิ่งเพิ่มขึ้น และเชื่อว่าจะยิ่งทำให้การชุมนุมเพิ่มขึ้นและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ สื่อต่าง ๆ ที่ พลเอกประยุทธ์ เข้าพบเพื่อให้ช่วยสร้างภาพพจน์ปรากฏว่า กลับออกมาตำหนิและโจมตีพลเอกประยุทธ์กันเป็นจำนวนมาก หลังจากที่พลเอกประยุทธ์ตำหนิสื่อเรื่องเสนอข่าว VIP ที่เข้ามาโดยไม่ต้องกักตัว แต่ติดเชื้อไวรัสโควิดและอาจเกิดการแพร่ระบาดได้ ซึ่งเป็นความผิดของรัฐบาลเอง อีกทั้งสื่อต่าง ๆ น่าจะเห็นสัญญาณการประท้วงของนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ที่กระจายไปทั่วประเทศ น่าจะเป็นสัญญาณนับถอยหลังของรัฐบาลนี้แล้ว
“พลเอกประยุทธ์ ควรจะต้องวิเคราะห์สถานการณ์ให้ชัดเจนว่า อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งเชื่อได้ว่าการประท้วงน่าจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และยากที่จะหยุดยั้งความคิดและความรู้สึกของนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ที่เห็น พลเอกประยุทธ์ น่าจะเป็นตัวถ่วงความเจริญของประเทศ ทางออกที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการเร่งแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย และยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว ก่อนที่สถานการณ์จะสายเกินแก้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ของประเทศคงไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น” นายพิชัย กล่าว