วันนี้ 9 กันยายน 2563 ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ้คหัวข้อ [ “ประยุทธ์” คือใจกลางความสิ้นหวัง มีโอกาสตลอด 5 ปี “ไร้ฝ่ายค้าน งบประมาณเต็มมือ” แต่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ] ผม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้อภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 พูดถึงช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดเวลาหนึ่งของประเทศไทย ถึงแม้เราจะผ่านวิกฤตร่วมกันมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่อนาคตมืดมนเท่าครั้งนี้ ท่ามกลางวิกฤตรอบด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ปัจจัยสำคัญที่หน่วงรั้งไม่ให้ประเทศขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ คือ “วิกฤตภาวะผู้นำ” ของรัฐนาวาที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสภาวะที่กำลังก่อตัวขึ้นในโลกใบนี้ กับภูมิภาคนี้ กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศแห่งนี้
พิธา ลั่น การจับกุมเยาวชนไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ชี้ ต้องแก้นิติรัฐที่บิดเบี้ยว
หลายครั้งที่มีการเปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้กับวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 ในเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ หรือการหดตัวของ GDP ซึ่งจริงๆ แล้วต่างกรรมต่างวาระ สิ่งที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงก็คือ “ระบบการเมือง โครงสร้างการเมือง” ที่อำนวยให้เกิดการแก้ปัญหา คือเมื่อปี 2540 ยังมีระบบการเมือง รัฐธรรมนูญ ที่ยังทำให้นักการเมืองยึดโยงกับประชาชน ให้มีความพยายามในการแก้วิกฤตได้ แต่ปี 2563 นั้นมีรัฐบาลผสมที่อ่อนแอ ระบบการเมืองที่ทำให้นักการเมืองไม่ต้องเกรงใจประชาชน ไม่ต้องรู้ร้อนรู้หนาวกับความเดือดร้อนของประชาชนทั้งประเทศ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้คนหนุ่มสาวและประชาชนจำนวนมาก ต้องออกมาทวงอนาคตของพวกเขาคืน การชุมนุมของพวกเขา ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความคิดที่ต่างกันระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ แต่เป็นการปะทะกันระหว่าง “คนที่ต้องการจะมีความหวัง” กับ “ประเทศที่หมดหวัง” พวกเขาคือคนที่ยังมีหวังที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศที่สิ้นหวัง
เศรษฐกิจไทย “บ๊วย” ไม่ใช่แค่ในอาเซียนแต่ในเอเชีย
ความสิ้นหวังที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือความสิ้นหวังทางเศรษฐกิจ ถูกสะท้อนมาด้วยตัวเลขหลายๆ ตัวที่เมื่อเรานำมาวิเคราะห์แล้ว เศรษฐกิจไทยบ๊วย ไม่ใช่แค่ในอาเซียนแต่บ๊วยเกือบที่สุดของเอเชีย ในขณะเดียวกันนั้นค่าเงินบาทกลับแข็งตัวเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย จากข้อมูลของ Bloomberg เมื่อค่าเงินบาทแข็งตัวในเวลานี้ยิ่งเป็นการซ้ำเติมผู้ส่งออกในวิกฤตโควิดเข้าไปอีก ประเทศของเราพึ่งพาการส่งออก การท่องเที่ยว เศรษฐกิจต่างประเทศ สูงถึง 70% ของ GDP
ส่งผลให้เห็นในตัวเลขคนว่างงานซึ่งตอนนี้เพิ่มขึ้นแล้วถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ มากไปกว่านั้นไตรมาสหน้าคือคลื่นลูกที่สามที่จะมาถล่มระบบการเงินไทยคือหนี้สิน ที่การขอปรับโครงสร้างหนี้มีมูลค่ามากกว่า 7.2 ล้านล้านบาทจะหมดอายุลง ซึ่งมีโอกาสจะกลายเป็นหนี้เสีย อาจจะมากกว่าที่สถาบันการเงินไทยจะรับไหว
การหารายได้ของรัฐบาล ที่การเก็บภาษีปีนี้จะหลุดเป้า 4 แสนล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังได้ชี้แจง ทำให้รัฐบาลต้องทำงบประมาณขาดดุลไปอีกหลายปี หากจะกู้ก็สามารถทำได้แต่ต้นทุนในการกู้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และลูกหลานเราก็ต้องมาชดใช้ภาระนี้แทนเราในอนาคต
พอมาถึงตอนนี้คำถามก็คือ เหตุการณ์เฉพาะหน้า รัฐบาลประยุทธ์ทำอะไร? <<
จากที่มาขอรัฐสภา วงเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท อนุมัติไป 40,000 ล้านบาท เบิกจ่ายเงินจริงในการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ 400 ล้านบาท หรือเพียง 0.1% จากที่มาขอจากสภา
สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่หายไปเกือบ 100% โครงการเที่ยวปันสุข มีผู้ใช้สิทธิเพียง 17% ของสิทธิ์ทั้งหมด โรงแรมขนาดกลาง ขนาดเล็กหลายแห่งไม่สามารถเข้าร่วมได้ ก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ชาวภูเก็ตบอกผมว่า “ป่าตองกลายเป็นป่าช้า” เรียบร้อยไปแล้ววันนี้
พ.ร.ก.เงินกู้ Soft loan ก็กลับไม่ Soft สมชื่อ เงื่อนไขที่แข็งเกินไป ทำให้ SME เพียง 20% เข้าถึงได้ วงเงินอีก 4 แสนล้านก็ยังค้างเติ่งอยู่ ผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ยังปลดล็อคเงื่อนไขเหล่านี้ไม่ได้ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นภาวะสุญญากาศของการบริหารเศรษฐกิจไทย กัปตันใส่เกียร์ว่าง ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ในยามที่พายุโหมกระหน่ำ ดูเหมือนรัฐบาลนอกจากจะใจเย็นแล้ว ยังเลือดเย็นไปไหมกับความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในตอนนี้?
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น หน่วยงานราชการยังคอรัปชั่น ซ้ำเติมปัญหาของพี่น้องประชาชน ดังที่มีรายงานของปลัดสำนักนายกออกมาว่า งบประมาณปี 2562 ถูกหน่วยราชการยักยอก และทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง เป็นมูลค่าถึง 36,000 ล้านบาท ถ้าพลเอกประยุทธ์เป็นนายกสมัยแรก ผมคงวิจารณ์ท่านอีกอย่าง เข้ามารับตำแหน่งปีแรกยังไม่ทันไรก็โดนพิษโควิดเต็มๆ แต่พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจมาและบริหารประเทศมาก่อนแล้ว 5 ปีเต็ม และพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกที่ได้รับอภิสิทธิ์ในการบริหารประเทศมากกว่าผู้นำคนไหนในโลกประชาธิปไตยถึง 2 เรื่อง นั่นก็คือ
1) 5 ปีแรกนั้นเป็น 5 ปีเต็มๆ ที่ไม่มีฝ่ายค้าน ไม่มีแรงต้าน ไม่มีการตรวจสอบ
2) งบประมาณเกือบ 20 ล้านล้านบาท ตลอด 5 ปี งบประมาณที่สูงที่สุดกว่า นายกรัฐมนตรีคนไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทย แต่ผลงานที่ได้รับกลับมาคือผลงานเศรษฐกิจรั้งบ๊วยของเอเชีย เป็นเวลาเกือบ 5 ปีที่ พลเอกประยุทธ์ บริหารด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จ “ไม่มีฝ่ายค้าน ไม่มีการตรวจสอบ” เป็นเวลานานมากพอที่ผู้นำชาติหนึ่งที่มีวิสัยทัศน์จสามารถะวางรากฐานของประเทศเพื่อให้ต่อสู้กับความท้าทายในศตวรรษได้
ท่านนายกมีโอกาสตลอด 5 ปี “ไร้ฝ่ายค้าน งบประมาณเต็มมือ” ที่จะปรับเค้าโครงเศรษฐกิจ สร้างเศรษฐกิจฐานรากให้ประเทศเข้มแข็งจากภายใน กระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาการส่งออก การท่องเที่ยว ที่ไทยต้องยืมจมูกต่างประเทศหายใจ ทลายทุนผูกขาด สร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ ท่านมีโอกาสทำหลายอย่างแต่ท่านก็ไม่ได้ทำ จนทำให้คนในประเทศชาติของท่านต้องมารับกับสภาพที่มืดมนสิ้นหวังขนาดนี้
พลเอกประยุทธ์ สร้างระบบเพื่อรักษาอำนาจตัวเอง
นอกเหนือจากปัญหาภาวะผู้นำของท่านนายก ปัญหาที่เกิดขึ้นยังมาจากระบบการเมืองที่ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อรักษาอำนาจให้กับท่าน แต่กลับไม่สามารถทำให้ท่านบริหารบ้านเมืองได้ ความน่าเศร้าของประชาชนคนไทยตอนนี้ก็คือ ในชั่วโมงที่ประเทศของเรามืดมนที่สุด เราดันมีนายกที่ไม่มีภาวะผู้นำ อยู่ในระบบการเมืองที่บิดเบี้ยวที่สุด เมื่อสองสิ่งนี่มาอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่ต้องหลับตาก็นึกภาพออกว่ามันพังพินาศขนาดไหน
พรรคการเมืองที่เสนอท่านเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ก็เพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 ออกแบบมาเพื่อพรรคพวกของท่าน พรรคการเมืองที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งกลับไม่สามารถเป็นรัฐบาลได้ตามเจตจำนงค์ของประชาชน ท่านเองได้เป็นนายกก็เพราะกติกาที่พวกพ้องของท่านเขียนขึ้นเอง ระบบการเมืองนี้ตั้ง 250 ส.ว. ให้มีจำนวนใหญ่กว่าทุกพรรคการเมืองเพื่อให้เลือกท่านกลับมาเป็นนายกอีกครั้ง นอกจากนี้ยังกำหนดให้มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นบ่วงรัดประเทศเพื่อให้ท่านอยู่ในอำนาจอย่างมั่งคงปลอดภัยมากที่สุด
ดังนั้นรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ถูกร่างขึ้น โดยตัวมันเองไม่ได้มีไว้เพื่อแก้ปัญหาสังคมไทยและรับมือกับโลกอนาคต แต่มันเป็นรัฐธรรมนูญที่ทำหน้าที่เฉพาะกิจคือสืบทอดอำนาจให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกและรักษาอำนาจของเครือข่ายพวกท่านให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เราจึงเห็นว่า รัฐบาลชุดนี้สาละวนอยู่กับการแย่งชิงต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี สภาวุ่นวายกับการป้อนกล้วยให้ งูกิน ทำให้เกิดรัฐบาลผสมไม่มีเอกภาพและไม่มีคุณภาพ ต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างทำตามนโยบายของตนเอง ประเทศเดินไปอย่างไรทิศทาง มองไม่เห็นอนาคต
แต่แล้ว เกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้คนออกมาร่ำร้องทวงคืนอนาคตของพวกเขา? นอกจากรัฐบาลจะแก้ปัญหาไม่ได้ ก็ไม่รับฟัง นอกจากจะไม่รับฟัง ก็ยังคุกคามเสรีภาพของผู้ออกมาทวงคืนอนาคต การใช้มาตรา 116 อย่างไม่สมเหตุสมผล ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรสักอย่าง แต่กลับยิ่งขยายความขัดแย้งไปในวงกว้าง รัฐคงหวังให้สังคมรู้สึกกลัวและไม่กล้าเรียกร้องความเปลี่ยนแปลง แต่ผมเกรงว่าผลจะออกมาตรงกันข้าม กลายเป็นการยั่วยุ ท้าทายให้ประชาชนโกรธ รัฐจะต้องจับพวกเขาอีกสักกี่คน จนกว่าจะเข้าใจว่า การคุกคามประชาชนไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย
พลเอกประยุทธ์หวงแหนอดีตที่ล้าหลัง ทำลายอนาคตประเทศ
ในอนาคต เราต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่เรายังมองไม่เห็นความหวัง ไม่เห็นอนาคตข้างหน้าว่าจะเดินไปอย่างไร ดังนั้นสังคมไทยตอนนี้ยังมืดมิดไร้ทางออก เพราะว่าท่านพยายามหวงแหนอดีตที่รุ่งเรืองที่ทำให้ท่านได้ประโยชน์จากอดีตนั้น ในช่วงเวลาที่คนไทยจำนวนมากถามว่าอนาคตของพวกเขาคืออะไร อดีตของท่านได้สร้างเวรกรรมผูกมัดพวกเขา ถ่วงพวกเขาไว้ ทำให้พวกเขาไปสู่อนาคตไม่ได้
วิกฤตนี้รุนแรงขนาดไหน หลายท่านคงรู้ดี ไม่มีครั้งไหนที่การประท้วงรัฐบาลจะเกิดขึ้นมากและกระจายไปทั่วประเทศขนาดนี้ ไม่มีครั้งไหนที่การประท้วงรัฐบาลจะลงรากลึกไปถึงนักเรียนมัธยม ถ้าการเมืองดีพื้นที่ของนักเรียน นักศึกษาจะไม่ใช่ท้องถนน ถ้าท่านปฏิรูปประเทศจริงตั้งแต่ 6 ปี ก่อน การชุมนุมของนักเรียน นักศึกษาจะไม่เกิดขึ้น
6 ปีที่ผ่านมา เป็นการพิสูจน์แล้วว่า เราได้ผู้นำที่ไม่มีความสามารถ ไร้วิสัยทัศน์ ดูถูกประชาชน เล่นพรรคเล่นพวก ซึ่งจนถึงวันนี้ชัดเจนว่า คนไทยอาจจะได้นายกรัฐมนตรีที่แย่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา ถึงวันนี้ชัดเจนแล้วว่าความวุ่นวาย ความสิ้นหวัง ความล้าหลังในประเทศไทยทุกวันนี้ ใจกลางของความล้มเหลวอยู่ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเมื่อแก้ปัญหาบ้านเมืองไม่ได้ ท่านควรหลีกทาง ลงจากอำนาจ คืนอนาคตให้ชาติ ออกไปเถอะครับ ก่อนที่ประเทศชาติของเราจะย่อยยับเกินกว่าที่พวกท่านจะชดใช้คืน
ทิม พิธา โพสต์ หยุดคุกคามปชช. หลัง ทนายอานนท์ โดนขัง ช่อ ลั่นเจอกันวันที่ 19
ชัดเจน! พิธา ย้ำจุดยืนพรรคก้าวไกล ปิดสวิตช์ ส.ว. เพื่อประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น