พิษโควิด 13 ก.ย.63 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กชื่อ Thirachai Phuvanatnaranubala ระบุว่า ไทยเตรียมรับพิษโควิดสหรัฐหรือยัง การที่นักวิเคราะห์หลายคนบรรยายว่า วิกฤต 2020 จะหนักที่สุดในชีวิตนั้น เขาย่อมหมายถึงชีวิตของคนยุคปัจจุบัน เพราะคนที่เคยสัมผัสวิกฤตตลาดหุ้นสหรัฐปี 1930 ด้วยตัวเอง จะต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 120 ปี ซึ่งไม่มีเหลืออยู่แล้ว
แต่ในรูป 1 ของ Ray Dalio จะเห็นได้ว่า ปี 1930 กับ 2020 มีสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือสัดส่วนหนี้ต่อรายได้(จีดีพี)เป็นจุดสูงสุดในวัฏจักรหนี้ 80-90 ปี แต่ปี 2020 สัดส่วนสูงถึง 150% สูงกว่า 1930 (คือ 120%) ดังนั้น วิกฤตเศรษฐกิจ 2020 จึงไม่ได้เกิดเฉพาะจากโควิด และเป็นปัญหาซ้ำซ้อน
อันที่จริง ฟองสบู่แตกไปตั้งแต่ปี 2008 แล้ว สัดส่วนดังกล่าวขึ้นไปพีคถึง 160% และทางการสหรัฐควรจะได้ปล่อยให้เอกชนปรับตัวกันเอง ปล่อยให้บริษัทที่กู้เกินตัว ล้มไป แต่เฟดกลับอัดเงินอย่างหนักตลอดสิบกว่าปี กดดอกเบี้ยต่ำ
ดังนั้น แทนที่เอกชนจะลดหนี้ กลับกู้เงินไปซื้อหุ้น share buyback ทำให้ตลาดหุ้นบูมต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า วัฏจักรตลาดหุ้นสหรัฐเดิม ลงไปต่ำสุดเดือน มี.ค. และเข้าสู่วัฏจักรใหม่ แต่ในข้อเท็จจริง เป็นวัฏจักรเดิมที่ยืดยาวมาตั้งแต่ปี 2008 (รูป 2 จาก Games of Trade)
คำถามที่นักวิเคราะห์ควรจะตั้งมากกว่าคือ ในเมื่อสัดส่วนหนี้ต่อรายได้สูงถึง 150% ถ้าโควิดลดรายได้ลงเพียงแค่ 10% สัดส่วนจะเพิ่มทันที จาก 150 เป็น 166% แล้วเอกชนจะเอาเงินที่ไหนมาชำระหนี้?
อย่างไรก็ดี ในปี 2020 มีนักเล่นหุ้นจำนวนมากไม่เชื่อว่า 2020 จะเหมือนกับ 1930 เพราะเฟดและรัฐบาลสหรัฐอัดฉีดเงินตั้งแต่เริ่มอาการโควิด เขาเรียกสภาพนี้ว่า Fed put หมายความว่าเฟดจะดูแลไม่ให้ตลาดหุ้นทรุดลงอยู่เสมอ
ในรูป 3 จะเห็นได้ว่า การอัดฉีดเงินโดยเฟดช่วยให้เอกชนสามารถออกหุ้นกู้ใหม่ได้มากขึ้น (สีฟ้า) และได้อานิสงส์ลงไปถึงกลุ่ม junk bond (วงกลมสีแดง)
แต่ในเมื่อยอดขายฟุบ และกำลังซื้อหดตัวเพราะคนตกงานจำนวนมาก เงินกู้ดังกล่าวย่อมมิใช่เพื่อลงทุนขยายกิจการ แต่เป็นการกู้เพื่อเอาไปจ่ายดอกเบี้ยและคืนหนี้เดิม เลี่ยงสภาพ default
เนื่องจากโดยธรรมชาติ ไม่เคยมีใครแก้ปัญหาหนี้ท่วม ด้วยการกู้เพิ่มหนี้
ดังนั้น มาตรการของเฟดจึงเพียงแต่เป็นยาแก้ไข้สำหรับคนป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย
แต่ไม่น่าเชื่อว่า เอกชนสหรัฐเสพติดมาตรการเฟด เพราะ Apple เป็นบริษัทที่ทำ share buyback มาต่อเนื่อง ล่าสุด เฟดมีการซื้อหุ้นกู้ของ Apple จำนวนมาก ก็ปรากฏว่า Apple ยังทำ share buyback ไม่หยุด
สรุปแล้ว สภาพคล่องจากเฟด นอกจากเอาไปจ่ายดอกเบี้ย เพื่อเลี้ยงประคองหนี้เดิม ยังรั่วเข้าไปดันราคาหุ้นอีกด้วย
แต่นอกเหนือจาก fed put ยังมี treasury put เพราะมีคนจำนวนมากที่เอาเงินเยียวยาจากรัฐบาลสหรัฐไปเล่นหุ้น ซึ่ง treasury put นี้ แรงกว่า fed put
เพราะเงินที่ได้จากเฟดนั้น ได้ในรูปหนี้ ซึ่งต้องชำระคืน แต่เงินที่ได้จากรัฐบาลนั้น ได้แล้วไม่ต้องคืน
ผมเคยเขียนว่า ตลาดหุ้นสหรัฐจะอ่อนตัวมากในไตรมาสสาม เพราะคาดว่าโครงการเยียวยารอบสองจะสะดุด
พรรคเด็มโมแครตต้องการใช้เงินใหญ่ 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่พรรครีปับบลิกันยอมได้เพียง 1 ล้านล้าน
ทรัมป์คัดค้านแผนของพรรคเด็มโมแครต ที่ให้รัฐบาลกลางเข้าไปอุ้มมลรัฐ เพราะหลายรัฐที่ประสบปัญหาการเงินนั้น บริหารโดยพรรคเด็มโมแครต
ล่าสุด พรรครีปับบลิกันยกร่างกฎหมาย ย่อโครงการลงมาเหลือ 5-7 แสนล้าน โดยเน้นเฉพาะปัจจัยหลัก เช่น เงินอุดหนุนตกงาน เงินช่วย SMEs
แต่พรรคเด็มโมแครตก็ปฏิเสธ ทำให้กฎหมายคว่ำไป
ดังนั้น โอกาสที่สองพรรคจะเจรจากันจบก่อนเลือกตั้งจึงมีน้อย และจะยิ่งสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจ ดังจะอธิบายต่อไป
สิ่งที่วิเคราะห์ยาก คือตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับลดลงในเดือน ก.ย. นั้น เป็นจุดสูงสุดของวัฏจักร 2008-2020 หรือไม่?
ตลาดหุ้นอาจจะฟื้นขึ้นบ้างก่อนเลือกตั้ง เพราะมีทั้งปัจจัยบวกและลบ
ด้านปัจจัยบวก
ตัวเลขโพลที่สอบถามผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อด้านอุตสาหกรรมเป็นประจำทุกเดือน (PMI หรือ Purchasing Manager Index) นั้น มีแนวโน้มฟื้นตัวในเดือน ส.ค.
ในรูป 4 จะเห็นได้ว่า PMI ของสหรัฐฟื้นมาต่อเนื่อง 3 เดือนแล้ว และ ส.ค. สูงกว่าก่อนโควิดเสียด้วย
เพราะการล็อคดาวน์กระทบการผลิต ทำให้ของไม่พอใช้ ร้านค้าปลีกต้องแย่งกันซื้อ เรียกว่า pent up demand
ในรูป 5 จะเห็นได้ว่า PMI ของสหรัฐเป็นตัวเลขที่บ่งชี้อัตราขยายตัวของ จีดีพี ได้อย่างดี โดยไม่ต้องรอตัวเลข จีดีพี ที่ออกเป็นรายไตรมาส (ช้ากว่า PMI ที่เป็นรายเดือน)
ดังนั้น จึงคาดได้ว่า ตัวเลข จีดีพี ไตรมาสสามจะมีแนวโน้มดีขึ้น
ยอดขายบ้านในเดือน ก.ค. ที่เพิ่มขึ้นมาก (รูป 6) ก็จะทำให้บรรยากาศตลาดหุ้นดีขึ้นด้วย รวมทั้งราคาบ้านก็สูงขึ้นอย่างมากในเดือน พ.ค. (รูป 7) และยอดขายรถยนต์ก็สูงขึ้นมาก (รูป
ข้อมูลการจับจ่ายใช้สอยดังกล่าว จะเป็นผลบวกแก่ตลาดหุ้น
ปัจจัยที่อาจจะก่อความเสี่ยงก่อนเลือกตั้ง คือความขัดแย้งด้านการทหาร ระหว่างสหรัฐกับจีน แบบ limited war action ในทะเลจีนใต้ ที่อาจจะมีในช่วงก่อนกลางเดือน ต.ค.
เพราะในภาวะสงคราม คนอเมริกันจะเฮโลสนับสนุนประธานาธิบดีไว้ก่อน
ในรูป 9 และ 10 กระทรวงต่างประเทศสหรัฐเพิ่งออกรายงานต่อรัฐสภา ที่บรรยายจีนเป็นคู่ขัดแย้งที่น่ากลัว ที่กำลังมีการสะสมยุทโธปกรณ์ด้านกองทัพเรืออย่างน่ากังวล
ทั้งที่สหรัฐเองเป็นผู้แผ่อิทธิพลไปทุกคาบสมุทรทั่วโลกมาหลายสิบปี บ่งชี้ถึงความตึงเครียดจะมีมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีปัญหา default ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่จะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐลดลงอย่างหนักในไตรมาสแรกปี 2021 อีกด้วย
ดังนั้น ถึงแม้ตลาดหุ้นสหรัฐอาจฟื้นขึ้นบ้าง ในช่วงก่อนเลือกตั้ง ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ควรจะทึกทักเอาว่าเศรษฐกิจสหรัฐพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว