รายงานพิเศษ : เช็คจังหวะก้าว “เพื่อไทย” ปรับทัพใหญ่ ต่อลมหายใจ “ทักษิณ” ในวันฐานเสียงสั่นคลอน !!!
“เราอยากให้ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งเป็นตัวจริง ไม่ใช่สตั๊นท์แมน เพราะในระบบการเมืองนั้น ไม่ควรให้ใครมาเป็นนอมินี หรือทำหน้าที่แทน เราจึงกำหนดให้กรรมการบริหารพรรคทั้ง 29 คนเป็นตัวจริง”
สุ้มเสียง “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” ส.ส.เชียงใหม่ หนึ่งในชื่อตัวเต็งมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ แทนที่ “พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอิน” ได้ประกาศลาออกไปก่อนหน้านี้ เป็นความเคลื่อนไหวสำคัญก่อนที่ “เพื่อไทย” จะนัดประชุมใหญ่วันที่ 12 ก.ค. เพื่อปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยเฉพาะ “องคาพยพ” ตำแหน่งต่างๆ ก่อนไปทำหน้าที่ “ฝ่ายค้าน” อย่างเต็มตัว
จากที่มีคำถามว่าทำไม “เพื่อไทย” ต้องเปลี่ยนหัวหน้าพรรคตอนนี้ ต้องไปเปิดที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 106 ที่ได้บังคับให้มีผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ โดยผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ต้องเป็น ส.ส. แต่เมื่อ พล.ต.ท.วิโรจน์ ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนเก่า ไม่ได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อจากผลเลือกตั้ง 24 มี.ค. ก็หมายความว่า ถึงเวลาที่ “เพื่อไทย” ต้องขยับให้ผู้ที่เป็น “ส.ส.เขต” มาเป็นหัวหน้าพรรคแทน เพื่อไปรับบท “ผู้นำฝ่ายค้าน” ในสภาฯ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

เมื่อข่าว “วิโรจน์” ลาออกได้ประกาศออกไป กลายเป็นชื่อ “สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” หนึ่งในคนสนิทตระกูล “ชินวัตร” ถูกเด้งเข้ามารับตำแหน่งทันที ในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทยที่มีประสบการณ์มาโชกโชน เคยรับตำแหน่งรองนายกฯ ในยุคที่ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” เป็นนายกรัฐมนตรี เขายังเคยเป็นถึงรัฐมนตรีสำคัญในหลายกระทรวง อาทิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
“สมพงษ์” ยังเป็นหนึ่งในผู้กว้างขวางมีบารมีในส.ส.ภายในพรรค ขีดเส้นใต้ 3 เส้นไปที่มากไปด้วยคอนเนกชั่นจากคนแดนไกล ตระกูล “วงศ์สวัสดิ์” รวมถึงคอนเนกชั่นที่ไม่เคยตายจากนักการเมืองกลุ่ม 16 ถึงแม้คนกลุ่มนี้กระจัดกระจายในหลายพรรค โดยเฉพาะพลังประชารัฐ หรือภูมิใจไทย อาทิ สุชาติ ตันเจริญ สนธยา คุณปลื้ม เนวิน ชิดชอบ สรอรรถ กลิ่นประทุม ซึ่งทุกวันนี้นักการเมือง “กลุ่ม 16” ยังแวะเวียนพบเจอกันเป็นประจำ
การเข้ามาของ “สมพงษ์” ครั้งนี้ เป็นสถานการณ์ที่ “เพื่อไทย” กำลังเดินหน้า “รีแบรนด์” โครงสร้างใหม่เกือบทั้งหมด ในวันที่ทุกขุมกำลังทางการเมืองเป็นรอง “พลังประชารัฐ” โดยวางส่วนผสมตั้งแต่คนรุ่นเก่า รุ่นกลาง และรุ่นใหม่ในสัดส่วนกรรมการบริหาร 29 คน โดยเฉพาะการมีชื่อเลขาธิการพรรคคนใหม่ “น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ” ส.ส.กทม. คนสนิทคนสำคัญของ “สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีกระแสว่า “หญิงหน่อย” จะขึ้นไปเป็นประธานพรรคเพื่อไทยเต็มตัว

ขณะเดียวกันยังมีชื่อผู้ที่มีประสบการณ์มารับตำแหน่งสำคัญในพรรคตั้งแต่ ชัยเกษม นิติสิริ ปลอดประสพ สุรัสวดี วิชาญ มีนชัยนันท์ สามารถ แก้วมีชัย ส่วนชื่อ “ภูมิธรรม เวชยชัย” อดีตเลขาธิการพรรคคนเก่า คาดว่าจะไปรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านให้กับ “สมพงษ์” ที่สำคัญขุมกำลัง
ท่ามกลางการปรับตัวในยุคเงาคสช.ยังเรืองอำนาจ ไม่ใช่แค่การฟอร์มทีมให้ยืนระยะในฐานะฝ่ายค้านในสภาเท่านั้น แต่กระแสข่าวที่ออกมาเป็นระลอกต่อการ “วางมือ” ของแกนนำคนสำคัญ ที่เป็นปลาคนละน้ำกับแกนนำพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ “เฮียเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีต รมว.พลังงาน หรือการย้ายไปร่วม “ไทยรักษาชาติ” ของ “จาตุรนต์ ฉายแสง” หรือแกนนำภาคอีสานหลายคนที่ส่งสัญญาณอึดอัด ต่อท่าทีของผู้นำพรรคที่ออกหน้ากุมบังเหียนในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ได้ตอกย้ำรอยร้าวภายในเพื่อไทยมาตลอด

กลายเป็นแรงเสียดทานสำคัญไปตกอยู่กับการสร้าง “ดุลยภาพ” ภายในพรรคจากความไม่ลงรอยของ ส.ส.แต่กลุ่ม
ยังเป็นช่วงสุญญากาศที่ “เพื่อไทย” กำลังถูกผลัดเปลี่ยนขุมกำลัง ในช่วงที่กระแส “อนาคตใหม่” เริ่มติดลมบนในหลายพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญเพื่อไทย ภายหลังกวาด ส.ส.มาได้ถึง 113 ที่นั่ง (อีสาน 84 ที่นั่ง เหนือ 29 ที่นั่ง) แต่เป็นช่วงเดียวกันที่ “เพื่อไทย” ยังอยู่ในช่วงฝุ่นตลบ ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพที่ออกมานาทีนี้ ได้ไปอยู่ใต้ร่ม “อนาคตใหม่” ที่เดินเกมเปิดหน้าชนกับ คสช.เต็มตัว ชิ่งไปถึงฐานเสียง “เพื่อไทย” หลายพื้นที่เริ่มสวิงไปสนับสนุนท่าที “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” เพื่อนำ “7 พรรค” ไปสู้กับรัฐบาล มากกว่าเห็นคนจากเพื่อไทยมานำทัพในชั่วโมงนี้

การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่เป็นโอกาสอีกครั้ง ต่อลมหายใจ “ทักษิณ ชินวัตร” ในช่วงกระแสข่าวการวางมือ ไปพร้อมอีกหนึ่งกระแสข่าวหนาหูว่าคนแดนไกลเตรียมจะปั้นเพื่อไทยในโมเดลให้คนรุ่นใหม่นำพรรค หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นอีกครั้ง
กลายเป็นสถานการวัดใจ “เพื่อไทย” ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการปรับทัพใหญ่ เพราะไม่ได้หมายถึงศึกหนักในสภาฯอย่างเดียว แต่หมายถึงโอกาสจะกลับมาชนะเลือกตั้ง หากสุดท้ายยังกู้สถานการณ์วิกฤติครั้งนี้ไม่ได้ ย่อมหมายถึงต้องปิดประตู “ทักษิณ” ไปด้วย !!!