อุตสาหกรรมปิโตรเคมี กลไกสำคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 19 เป็น ฟันเฟืองหลักหนุนเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์มาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 19 และยังคงมีบทบาทอย่างยิ่งในโลกยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในด้านการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันในแทบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เช่น ยารักษาโรคต่าง ๆ ผลิตภัณฑ์เพื่อการอุปโภค เช่น แปรงสีฟัน แชมพู เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เพื่ออุตสาหกรรม เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ วัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์ ซึ่งหัวใจของอุตสาหกรรมนี้คือกระบวนการแปรรูปวัตถุดิบโดยอาศัยเทคโนโลยีทางเคมีและฟิสิกส์ขั้นสูง เพื่อเปลี่ยนทรัพยากรพื้นฐานให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มอย่างมหาศาล วัตถุดิบหลักที่ใช้ในกระบวนการดังกล่าวมีด้วยกัน 6 ประเภท ได้แก่ 1. ก๊าซธรรมชาติ 2. น้ำมันดิบ 3. ถ่านหิน 4. แร่ธาตุต่าง ๆ 5. พืชผลทางการเกษตร และ 6. ไขมันจากสัตว์
น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เรียกรวมกันว่า ปิโตรเลียม เป็นสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการสะสมของซากสิ่งมีชีวิตใต้ชั้นหินและพื้นทะเลในช่วงเวลาหลายร้อยล้านปี องค์ประกอบของซากพืชและสัตว์ อุณหภูมิ ความดัน และโครงสร้างของชั้นหิน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่วนใหญ่ใช้ ก๊าซธรรมชาติ เป็นวัตถุดิบหลักมากถึง 53% โดยเฉพาะในภูมิภาคอเมริกาเหนือและตะวันออกกลาง รองลงมาคือการใช้ น้ำมันดิบ คิดเป็น 44% ซึ่งพบมากในยุโรปและเอเชีย ขณะที่วัตถุดิบอื่น เช่น ถ่านหิน และพืชผลทางการเกษตรอย่างมันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด และปาล์ม มีสัดส่วนรวมประมาณ 3%
พัฒนาการ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ไทย
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อประเทศไทยประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง รัฐบาลจึงมีนโยบายส่งเสริมการสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมอย่างเป็นระบบ กระทั่งในปี พ.ศ. 2516 ประเทศไทยค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย และในปี พ.ศ. 2521 ได้จัดตั้ง “การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย” เพื่อบริหารจัดการพลังงานของประเทศ
จากนั้นมีการลงทุนขยายเครือข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติและตั้งโรงแยกก๊าซธรรมชาติ หน่วยที่ 1 ขึ้นในปี พ.ศ. 2527 เพื่อนำก๊าซธรรมชาติมาแปรรูปเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เช่น ก๊าซอีเทน C2 ก๊าซโพรเพน C3 ก๊าซบิวเทน C4 สำหรับผลิตก๊าซหุงต้ม (LPG) และเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมพลาสติก
ภายใต้นโยบายส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมของรัฐบาล เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากก๊าซธรรมชาติและทดแทนการนำเข้า โดยมีแผนพัฒนาปิโตรเคมีระยะที่ 1 พ.ศ. 2523 – 2532 และ แผนพัฒนาปิโตรเคมี ระยะที่ 2 พ.ศ. 2533 – 2547 ทำให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยเติบโตเป็นลำดับ ซึ่งการผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีสอดคล้องกับแผนการพัฒนาประเทศ แบ่งได้เป็น 4 ระยะ
- คลื่นลูกที่ 1 (พ.ศ. 2516–2532) ค้นพบก๊าซธรรมชาติครั้งแรก พัฒนาทรัพยากรให้มีมูลค่าเพิ่ม ทดแทนการนำเข้า และสร้างความมั่นคงทางพลังงาน
- คลื่นลูกที่ 2 (พ.ศ. 2533–2553) เปิดเสรีปิโตรเคมี พัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลายและเริ่มส่งออก
- คลื่นลูกที่ 3 (พ.ศ. 2554–ปัจจุบัน) ขยายและควบรวมกิจการของโรงงาน สร้างเครือข่ายปิโตรเคมีครบวงจร
- คลื่นลูกใหม่ (อนาคต) ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เพื่อความยั่งยืน ตามนโยบาย BCG และ EEC
กระบวนการทางอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นกลไกสำคัญในการแปรรูปทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ผ่านกระบวนการทางเคมีและฟิสิกส์ขั้นสูง ซึ่งนอกจากจะผลิตเป็นเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ยังได้วัตถุดิบสำคัญที่ใช้เป็นฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งมีการพัฒนากระบวนการผลิตที่ทันสมัยและครบวงจร
กระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 แนวทางหลัก ได้แก่
1. การใช้วัตถุดิบจากปิโตรเลียม ได้แก่ การนำก๊าซธรรมชาติเข้าสู่โรงแยกก๊าซธรรมชาติ หรือการนำน้ำมันดิบเข้าสู่โรงกลั่น ซึ่งนอกจากจะผลิตเป็นเชื้อเพลิงแล้ว ยังสามารถแยกสารประกอบสำคัญออกมาได้ เช่น กลุ่มโอเลฟินส์ (เอทิลีน โพรพิลีน บิวทีน) และกลุ่มอะโรเมติกส์ (เบนซีน โทลูอีน ไซลีน) ซึ่งเป็นวัตถุดิบขั้นต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
2. การใช้วัตถุดิบชีวภาพ เช่น พืชผลทางการเกษตร มาผ่านกระบวนการกลั่นทางเคมีชีวภาพ หรือ Biorefinery เพื่อผลิตเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ พลาสติกชีวภาพ และผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยส่วนใหญ่จะใช้ปิโตรเลียมเป็นวัตถุดิบในการผลิต เมื่อนำก๊าซธรรมชาติเข้าสู่โรงแยกก๊าซ หรือ น้ำมันดิบเข้าสู่โรงกลั่นน้ำมันแล้ว จะไปสู่กระบวนการทางเคมี ที่ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ
- กระบวนการปิโตรเคมีขั้นต้น ซึ่งจะผลิตสารสำคัญ ได้แก่ เอทิลีน โพรพิลีน บิวทาไดอีน ใน C4 ผสม เบนซีน โทลูอีน และ ไซลีน
- กระบวนการปิโตรเคมีขั้นกลาง มีผลิตภัณฑ์ที่สำคัญ เช่น ไวนิลคลอไรด์ สไตรีน
- กระบวนการปิโตรเคมีขั้นปลาย คือการนำปิโตรเคมีขั้นกลางมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น เม็ดพลาสติก เส้นใยสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ สารเคลือบผิวและกาว ซึ่งสามารถต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์มากมาย เช่น บรรจุภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ และสิ่งทอ
เมื่อเทียบประสิทธิภาพของวัตถุดิบ น้ำมันดิบ 1 บาร์เรล หรือก๊าซธรรมชาติ 6,000 ลูกบาศก์ฟุต สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และมีมูลค่าเพิ่มสูงกว่าเดิมถึง 10–25 เท่า ทั้งยังสามารถผลิตพลาสติกชีวภาพและเชื้อเพลิงชีวภาพจากพืชเกษตร ซึ่งเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

คุณค่าของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีต่อประเทศไทย
การพัฒนาอุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้สร้างคุณค่าให้กับประเทศไทยมหาศาล จากการลงทุนและการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ ได้เกิดมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 1.25 ล้านล้านบาท และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในระดับมหภาคอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงการผลิตปิโตรเคมีต้นน้ำและกลางน้ำ มีการสร้างรายได้รวมกว่า 836,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.2% ของ GDP ประเทศไทย และยังส่งผลให้เกิดการจ้างงานกว่า 414,000 คน ในขั้นปลายน้ำ เกิดผู้ประกอบการ SME มากกว่า 3,000 รายทั่วประเทศ และสามารถสร้างมูลค่าการส่งออกมากถึง 486,000 ล้านบาท หรือ 5.7% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย โดยมีจังหวัดระยองเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ สร้าง GDP สูงสุดของประเทศอย่างต่อเนื่อง
อุตสาหกรรมปิโตรเคมียุคใหม่ ผสานแนวคิด Circular Economy และ ESG สู่ความยั่งยืน
ในยุคที่โลกเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม อุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้องปรับตัวเพื่อความยั่งยืน แนวคิด Circular Economy และ ESG จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาต่อไปในอนาคต Circular Economy คือการออกแบบกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ให้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล และลดของเสียให้มากที่สุด เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและลดก๊าซเรือนกระจก โดยมีการใช้วัตถุดิบที่สามารถรีไซเคิลได้ง่าย และการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
ขณะเดียวกัน การดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) ยังช่วยให้องค์กรสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น เข้าถึงแหล่งทุนใหม่ เช่น Green Finance และดึงดูดบุคลากรรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมาร่วมงานได้มากขึ้น จากผลสำรวจพบว่า 40% ของคนรุ่นใหม่เลือกทำงานกับองค์กรที่ยึดมั่นในหลักความยั่งยืน
นอกจากนี้ ยังช่วยขยายฐานลูกค้าและคู่ค้าที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีแนวโน้มยอมจ่ายแพงขึ้นกว่า 10% สำหรับสินค้ายั่งยืน อีกทั้งยังช่วยสร้างความร่วมมือกับภาครัฐ ชุมชน และองค์กรพัฒนาเอกชน เพิ่มโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว
อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ฟันเฟืองหลักหนุนเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไม่เพียงเป็นรากฐานของการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่น ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ด้วยการต่อยอดจากวัตถุดิบปิโตรเลียมและทรัพยากรชีวภาพ สู่การผลิตที่มีมูลค่าสูง ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน ในขณะเดียวกัน การก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยแนวทาง Circular Economy และ ESG เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และนำพาประเทศไทยสู่การพัฒนาอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป