ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น จ.พังงา รายงานว่า ที่หน้าที่ว่าการอำเภอกะปง จ.พังงา ประชาชนประมาณ 200 คนได้รวมตัวกันยืนถือป้ายประท้วงพร้อมด้วยเขียนข้อความโจมตี การทำงานของ นายสิโรจน์ เสนคุ้ม หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ พง.5 กะปง พร้อมด้วย นายชาตรี วิชัยธวัช และ นายพรชัย แสงสว่าง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ป้องกันรักษาป่าที่ พง.5 กะปง หลังจากชาวบ้านกล่าวหาว่าทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทั้ง 3 นายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เอื้อประโยชน์แก่นายทุน กลั่นแกล้งราษฎรที่ยากไร้ ที่เข้าไปทำกินในพื้นที่มานานตั้งแต่บรรพบุรุษ เรียกรับผลประโยชน์จากราษฎรที่ต้องการที่ดินทำกิน และไม่จับกุมนายทุนที่บุกรุกที่ดินของรัฐจึงต้องการให้ผู้บังคับบัญชา ต้นสังกัด ย้ายทั้ง 3 นายออกจากหน่วยป่าไม้ ป้องกันรักษาป่าที่ พง.5 กะปง โดยด่วน
ต่อมา นายสุพงษวิณัย ชูยก นายอำเภอกะปง พ.ต.อ.จรัส เจริญกุล ผกก.สภ.กะปง นายทวี ลือชา ผู้อำนวยการส่วนป้องกันรักษาป่า และควบคุมไฟป่า สนง.12 กระบี่ ได้เดินทางมาพูดคุยทำความเข้าใจกับประชาชนที่มาชุมนุมประท้วง ซึ่งผลในที่สุด นายอำเภอกะปง ได้มาแจ้งกับผู้ชุมนุมว่า ทางผู้บัญคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 นายได้มีคำสั่งให้ นาย สิโรจน์ เสนคุ้ม หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ พง.5 กะปงและลูกน้อง อีก2 นาย ย้ายไป ปฎิบัติหน้าที่ ส่วนป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า สนง.12 กระบี่ ทำให้ประชาชนที่มาชุมนุมพอใจ เมื่อทราบผลจึงได้สลายการชุมนุม
นายวิชัย มูลมาศ ตัวแทนชาวบ้านที่มาชุมนุม กล่าวว่า พวกตนถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเรื่องที่ดินทำกิน ซึ่งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ละเว้น เลือกปฏิบัติ จับเฉพาะชาวบ้าน นายทุนที่บุกรุกป่านับร้อยไร่ไม่จับดำเนินคดี ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้มีกลุ่มนายทุนนำรถแบ็คโฮ ขึ้นไปบนป่าสงวนเพื่อล้มต้นไม้ขนาดใหญ่แต่ไม่มีหน่วยงานไหนกล้าดำเนินการแต่อย่างใดและพบว่าในพื้นที่ อ.กะปง มีการบุกรุก ป่าสงวนกันเป็นจำนวนมากจึงวอนทาง พลเอกประยุทธ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้เข้ามาแก้ปัญหาการลุกป่าอย่างจริงจังต่อไป
ทางด้าน นายสิโรจน์ เสนคุ้ม หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ พง.5 กะปง กล่าวว่า การมีชาวบ้านออกมาขับไล่ตนเองในครั้งนี้น่าจะเกิดจากที่มีการตรวจสอบที่ดินที่ทางกรมป่าไม้ ได้มอบหมายให้เจ้าของพื้นที่ป่าไม้แต่ละพื้นที่ในการรับผิดชอบไปตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังจากทางกรมป่าไม้ได้มีการแปลภาพถ่ายดาวเทียมเมื่อปี พ.ศ.2545 ว่าขณะนั้นสภาพยังเป็นป่า แต่ผ่านมา 10 ปี ประมาณปี พ.ศ.2555 ทางกรมป่าไม้ได้แปรภาพถ่ายดาวเทียมอีกรอบพบว่าพื้นที่ อ.กะปง มีการบุกรุกป่าสงวนทำสวนปาล์ม สวนยางพารา จำนวน 43 แปร เนื้อที่กว่า 4,000 กว่าไร่
โดยขณะนี้ตนเองได้ดำเนินการตรวจสอบ จับกุม ตามกรมป่าไม้มอบหมายให้แล้วประมาณกว่า 900 ไร่ 23 แปร ซึ่งตนเองเชื่อว่าการดำเนินการตรวจสอบการบุกรุกป่าบริเวณป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาหน่วยอึ้ง ป่าเขาเหมาะน้อย และป่าเขาพ่อตา บ.ปรายวา ม.2 ต.เหมาะ อ.กะปง จ.พังงา จนทำให้มีบางกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ เนื่องจากที่ดินดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเครือญาติกัน โดยขณะนี้ปัญหาการบุกลุกป่าในพื้นที่ อ.กะปง ลดลงหลังจากทางหน่วยงานหลายฝ่ายได้ช่วยกันตรวจสอบจับกุมผู้กระทำผิด พร้อมประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านทราบว่าห้ามให้มีการบุกรุกป่าโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถูกดำเนินคดีและยึดพื้นที่คืนอย่างแน่นอน ซึ่งพื้นที่ อ.กะปง ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าสมบูรณ์มากเป็นพื้นที่ไม่ติดทะเลแต่ก็ยังมีการลับลอบการทำสวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน ในเขตป่าต้นน้ำและป่าสงวน จึงจำเป็นต้องดำเนินการตรวจยึดคืนมาทั้งหมด