“พล.อ.ประยุทธ์”ชมขอนแก่น ตอบคำถาม 4 ข้อมากที่สุดในประเทศไทย พร้อมขอความร่วมมือทุกฝ่ายร่วมกันพัฒนาประเทศ ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ระบุคนจนลงทะเบียนมากถึง 14.9 ล้านคน ในจำนวนนี้รายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปีมากถึงร้อยละ 30 ชี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหา
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจราชการตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมเยี่ยมชมนิทรรศการวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น 8 ด้าน รวมทั้งสิ้นกว่า 39 โครงการวิจัย โดยมีผู้ที่สนใจจากทั้ง 20 จังหวัดภาคอีสานเข้าร่วมรับฟังนโยบายของรัฐบาลรวมกว่า 5,000 คน โดยได้แสดงความยินดีกับ น.ส.กฤตรัตน์ ชุมแก้ว นักเรียนโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน ที่สอบแอดมิชชั่นได้อันดับ 1 คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะที่ นายวรวัฒน์ ลอศิริกุล นายอัชชานนท์ มานิตพรสุทธ์ และนายสุวิชา สุพัฒนะพงศ์ โรงเรียนขอนแก่นวิทยายน สอบโอเน็ต วิชาคณิตศาสตร์ได้ 100 คะแนนเต็ม ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนทั้ง 4 คนด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศยังคงเน้นหนักในรูปแบบของการสร้างความมั่งคั่งและยั่งยืน และสิ่งที่พบในขณะนี้คือยอดผู้ที่มาลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยมากถึง 14.9 ล้านคน ซึ่งมีรายได้ 100,000 บาทต่อคนต่อปี ในจำนวนนี้มากถึงร้อยละ 30 มีรายได้ต่อปีต่อคนอยู่ที่ 30,000 บาท ซึ่งรัฐบาลจะต้องหาทางแก้ไขเพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น พร้อมกันนี้กล่าวว่า ขณะนี้มีการวิจารณ์การทำงานอย่างมากในด้านต่างๆ ทำไมไม่ฟังและจับประเด็น เวลาประชุมต้องฟังและจับประเด็นและนำกลับไปทำงาน เพราะรัฐบาลนั้นมองให้ไกลและกลับมามองในสิ่งที่ใกล้ตัว ซึ่งทุกกระทรวงและทุกหน่วยงานจะตองปรับแนวทางการทำงานทั้งหมดจะต้องคิดใหม่ ทำใหม่ มองให้ไกลและทำให้ได้อย่างมีประสิทธฺภาพ วันนี้เราเข้าสู่นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ทำมาตามลำดับตั้งแต่ 1.0-2.0-3.0 โดยมีขั้นตอนในการทำงานทั้งหมดแล้ว ดังนั้นการเชื่อมต่อคนจนมาสู่คนรวยและทำงานรวมกันนั้นรูปแบบประชารัฐที่ดำเนินการอยุ่ในขณะนี้เป็นสิ่งที่จะขับเคลื่อนแนวทางการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่ออีกว่า การตอบคำถาม 4 ข้อ ที่ได้สอบถามไปนั้นต้องขอขอบคุณคนขอนแก่นที่ตอบคำถามมากที่สุดในประเทศไทย โดยขณะนี้มียอดของการส่งคำตอบมากกว่า 10,000 คน และวันนี้มีเรื่องใหม่ คือ 50 ประเด็นของประเทศ ที่สามารถต่อยอดแนวทางการทำงานได้อีกกว่า 1,000 ราย เป็นโจทย์ที่สำคัญที่เราจะต้องทำร่วมกันต่อจากนี้