ปิดเมืองล่า! โจรแสบทุบตู้เติมเงินมือถืออาละวาดหนักทั่วกรุง ในห้วงเวลาไม่กี่เดือน ก่อเหตุรวมทั้งสิ้น 275 คดี มียอดรวมมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นเชื่อว่าไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท ด้าน ตำรวจเรียก 23 ผู้ประกอบการตู้เติมเงินมือถือ หาแนวทางป้องกัน หลังพบเบาะแสว่าคนร้ายขี่รถจักรยานยนต์มาคนเดียว โดยภาพวงจรปิดจับภาพโจรเอาไว้ได้
ภาพวงจรปิดจับภาพขณะที่ชายต้องสงสัยรูปร่างสันทัด มีรอยสักที่ขาทั้ง 2 ข้าง ใช้รถจักรยานยนต์แบบผู้ชายขนาดมินิ ไม่ทราบยี่ห้อ รุ่น หมายเลขทะเบียนไม่ชัด สวมหมวกกันน็อกเต็มใบ ใส่เสื้อคลุมสีสว่าง และนุ่งกางเกงขาสามส่วน มีเป้สะพายด้านหน้า ขับขี่รถมาจอดทำทีเติมเงินมือถือก่อนใช้คีมตัดกุญแจล็อกตู้งัดเอาถุงเงินในตู้ไปโดยใช้เวลาแค่ 3 นาที ในพื้นที่โรงพักแห่งหนึ่งสังกัดกองบังคับการตำรวจนครบาล9 เมื่อคืนวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา
ความคืบหน้าเรื่องนี้ พลตำรวจตรี ภาณุรัตน์ หลักบุญ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เชิญผู้ประกอบการตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือ 23 ราย ในพื้นที่กรุงเทพฯ มาประชุมวางแนวทางป้องกันเหตุคนร้ายทุบทำลายชิงเงินภายในตู้ หลังได้รับรายงานว่า ปัจจุบันมีสถิติการเกิดเหตุเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งในปัจจุบันมีตู้เติมเงินวางในพื้นที่กรุงเทพฯ กว่า 3,400 ตู้ แต่ยังไม่มีการประสานข้อมูล หรือมีการวางมาตรการป้องกันเหตุ จึงต้องหารือเพื่อกำหนดแนวทางป้องกันร่วมกัน
โดยสิ่งแรกที่อยากให้ผู้ประกอบการทำคือ แจ้งจุดวางตู้เติมเงินให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ ติดตั้งสัญญาณเตือนเหตุ หรือกล้องวงจรปิด และติดตั้งตู้ให้มีความแข็งแรง หากเกิดเหตุขึ้นต้องรีบแจ้งตำรวจ อย่าคิดเพียง ทำประกันภัยแล้วไม่จำเป็นต้องป้องกันเหตุร้าย ส่วนพื้นที่ต้องเร่งแก้ไขปัญหา คือ ย่านฝั่งธน โดยเฉพาะกองบังคับการตำรวจนครบาล8 และ9 มีสถิติการเกิดเหตุสูงสุด โดยกลุ่มผู้ก่อเหตุนั้นมี 3 แก๊งใหญ่ด้วยกัน กำลังเร่งสืบสวนจับกุมมาดำเนินคดี สำหรับสถิติการก่อเหตุชิงทรัพย์ตู้เติมเงิน 1 ในผู้ประกอบการพบว่า ถูกก่อเหตุมาแล้วถึง 275 คดี พื้นที่ก่อเหตุเยอะสุดคือ กองบังคับการตำรวจนครบาล9 ย่านถนนพระราม2 เกิดขึ้นถึง 166 คดี
ทั้งนี้ ตู้เติมเงินมือถือเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินที่ทางบริษัทผู้ให้บริการเป็นผู้ครอบครอง โดยมีชาวบ้าน และภาคเอกชนให้เช่าหน้าร้านติดตั้งส่วนหนึ่ง และมีบางส่วนที่ขายขาดให้เอกชนนำไปลงทุนติดตั้งเอง โดยมากจะทำประกันการถูกโจรกรรมเอาไว้ เเละเมื่อทราบว่าตู้เติมเงินของตัวเองถูกงัด ทางผู้เสียหายส่วนใหญ่ ใน 1 ราย จะมีตู้เติมเงินหลายตู้จะเดินทางเข้ามาแจ้งความแบบรวดเดียว เพื่อนำหลักฐานไปยื่นเคลมกับบริษัทประกันภัย โดยที่ผู้เสียหายเองก็ไม่มีข้อมูลว่าโจรก่อเหตุไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่สำคัญมูลค่าความเสียหายมากมายขนาดไหน เพราะไม่สามารถระบุยอดเงินที่อยู่ในตู้ขณะถูกงัดเอาไปได้ ทำให้ภาระตกอยู่กับพนักงานสอบสวนแต่ละท้องที่ เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้ต้องไปขอให้บริษัทผู้ให้บริการชี้แจงรายละเอียดมาประกอบสำนวนคดี ซึ่งก็ไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร จึงต้องหามาตรการป้องกันการถูกโจรกรรมในระยะยาวร่วมกันต่อไป