จากกรณีพ่อและแม่ของนาย กนกพรหม ขานฤทธี ผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัส โดยใช้จักรยานยนต์ ในพื้นที่โรงพักบางนา เมื่อปี51 ซึ่งศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 23 ปี และถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำมาแล้ว 6 ปี ได้มาร้องขอความเป็นธรรมกับกระทรวงยุติธรรมให้รื้อฟื้นคดีใหม่ ล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้นำรถคันก่อเหตุไปตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติม
เจ้าหน้าที่ได้นำรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน บพล 893 กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นรถคันที่นำมาใช้ก่อเหตุ มาตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งการนำรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวไปตรวจสอบในวันนี้ เป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทางกระทรวงยุติธรรม จะรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อยื่นต่อศาลอาญาขอรื้อฟื้นคดีใหม่ภายใน 1 เดือนนี้
คดีนี้สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม นำนายสวัสดิ์ จันทะรัตน์ พยานบุคคลคนสำคัญที่ยืนยันว่านายกนกพรหม ขานฤทธี ผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีชิงทรัพย์ ในพื้นที่ สน.บางนา ไม่ใช่ผู้กระทำผิดตัวจริง พร้อมครอบครัวผู้ถูกดำเนินคดี เข้าพบ พันตำรวจเอก ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เพื่อพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และแนวทางในการขอรื้อฟื้นคดี เมื่อ 2 วันก่อน โดยศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 23 ปี อาจไม่ใช่ผู้ต้องหาตัวจริง และถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางคลองเปรมมาแล้ว 6 ปี เนื่องจากวันเกิดเหตุ วันที่ 5 สิงหาคม 2551 คนร้ายใช้รถจักรยานยนต์ก่อเหตุชิงทรัพย์บริเวณโรงพยาบาลบางนา1 และได้ทิ้งรถจักรยานยนต์ไว้ในจุดเกิดเหตุ เมื่อตรวจสอบพบว่า รถทะเบียนดังกล่าว มีชื่อ นายสมพงษ์ ขานฤทธี ซึ่งเป็นลุง ของนายกนกพรหม ผู้ที่ถูกดำเนินคดดีเป็นเจ้าของ แต่ผู้เสียหายให้การว่าคนร้ายเป็นกลุ่มวัยรุ่น ตำรวจจึงตรวจสอบข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์ พบนายกนกพรหม ซึ่งเป็นหลาน มีรูปพรรณ อายุ ใกล้เคียงกับคำให้การของผู้เสียหาย และเมื่อให้ผู้เสียหายชี้ตัวผู้กระทำผิดก็ยืนยันว่าเป็นนายกนกพรหม
อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่ของเจ้าหน้ากระทรวงยุติธรรมสอบสวนหาหลักฐานนานกว่า 1 ปี พบว่า รถคันนี้มีการขายทอดตลาดจากบริษัทไฟแนนซ์มาแล้ว 3 ครั้ง โดยมีนายสวัสดิ์ จันทะรัตน์ เป็นผู้ครอบครองคนสุดท้าย โดยซื้อมาจากร้านขายรถมือ 2 และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ซึ่งถือเป็นพยานคนสำคัญที่จะนำไปสู่การรื้อฟื้นคดี ระบุว่า วันเกิดเหตุ รถของตัวเองถูกนายนิกร ไหมวงศ์ วัยรุ่นที่อยู่ใกล้บ้านขโมยไป ซึ่งมีพฤติกรรมขโมยของ และมีคดีจี้ชิงทรัพย์ติดตัวหลายคดี จึงเชื่อได้ว่านายกนกพหรหม ไม่ใช่เป็นผู้กระทำผิดตัวจริง เนื่องจากไม่ได้ครอบครองรถดังกล่าว