วันนี้ 30 เม.ย. เป็นครบฝากขังครั้งที่ 7 เป็นเวลา 84วัน และเป็นนัดสุดท้าย ของนายเปรมชัย กรรณสูต กับพวกรวม 4 คน ผู้ต้องหาคดีล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอัยการภาค 7 จึงเร่งรัดคดีเพื่อที่สรุปสำนวนเพื่อส่งฟ้องให้ทันกำหนดฝากขัง เพราะหากปล่อยให้พ้นอำนาจศาลฝากขัง และหากเลื่อนฟ้อง ก็จะยุ่งยากในการติดตามตัวมาฟ้องในภายหลัง และการประชุมหารือของทีมคณะทำงานอัยการมีสรุปออกมาแล้วว่า มีมติส่งฟ้องคุณเปรมชัย 6 ข้อหาเดิม จาก 11 ข้อหา นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 และนายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา2ภาค 7 ได้ร่วมกันแถลงข่าวที่สำนักงานอัยการภาค 7 จ.ราชบุรี ถึงกรณีที่อัยการสูงสุดได้ส่งความเห็นชี้ขาดกลับมาให้ทางอัยการภาค 7 ได้สั่งฟ้องนายเปรมชัยกับพวก ว่า ทางอัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้วและมีความเห็นพ้องกับอัยการภาค 7 คือให้ฟ้อง 6 ข้อหา ส่วนที่ทางตำรวจภูธรภาค 7 ขอให้เพิ่มอีก 3 ข้อหา ประกอบด้วย คือ 1.ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.ร่วมกันมีเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์ป่า 3.ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต นั้นก็ตกไป
โดยนายเปรมชัย และ พวกอีก 3 คน ประกอบด้วย นายยงค์ โดดเครือ ผู้ต้องหาที่ 2 นางนที เรียมแสน ผู้ต้องหาที่ 3 และนายธานี ทุมมาศ ผู้ต้องหาที่ 4 คน อัยการก็ส่งฟ้องในคราวเดียวกันนี้
สำหรับนายเปรมชัย ผู้ต้องหาที่ 2 อัยการสั่งฟ้องข้อ 1.ร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาติ 3.ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต 4.ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่า 5.ร่วมกันซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสียหรือรับไว้ด้วยประการใดๆซึ่งซากของสัตว์ป่าอันได้มาโดยกระทำผิดกฎหมาย และ 6. ร่วมกันเก็บของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาติส่วนกรณีที่นายเปรมชัย กรรณสูต ได้ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีอัยการภาค 7 เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา ขอให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานที่อยู่ของนายเปรมชัย ในช่วงวันเวลาเกิดเหตุ พร้อมส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องมาด้วย และขอให้สอบสวนเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก 3 คน รวมทั้งให้สอบสวนบุคคลภายนอกและนายวิเชียร ชิณวงษ์ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมคณะทำงานและอธิบดีอัยการภาค 7 พิจารณาเอกสารแล้วเห็นว่า พยานที่อ้างถึงมิใช่พยานที่เกี่ยวข้องในคดี เป็นเพียงผู้ที่แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมวลชนเท่านั้น ส่วนพยานที่เกี่ยวข้องตามประเด็นที่นายเปรมชัยฯ ร้องขอความเป็นธรรมนั้น ได้มีการสอบสวนพยานดังกล่าวไว้แล้ว ดังนั้นคำร้องขอความเป็นธรรมของนายเปรมชัย จึงมีลักษณะเป็นการประวิงคดี ทั้งข้อเท็จจริงตามสำนวนการสอบสวนได้ความครบถ้วนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสอบสวนเพิ่มเติมตามประเด็นที่นายเปรมชัยฯ ร้องขอความเป็นธรรม