การตรวจค้น 14 จุดที่มีความเกี่ยวข้องกับการทุจริตเรื่องเงินทอนวัดเมื่อวานนี้ สร้างความสั่นสะเทือนทั้งวงการสงฆ์ และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) อย่างแรง และจากการที่เจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้ตรวจสอบอดีต ผอ.พศ. ก็พบข้อมูลว่า ในสมัยที่ นายพนม ศรศิลป์ ยังดำรงตำแหน่งเป็น ผอ.พศ. ก็มี 2 วัดดังใน กทม. ที่ได้รับการอนุมัติงบและพบการทุจริต วันนี้ ผู้สื่อข่าวของเราลงพื้นที่ไปสังเกตุการณ์ ที่วัดราชสิทธารามและวัดพิชัยญาติ
วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร ย่านถนนอิสรภาพ ที่ทีมข่าวไบรท์นิวส์ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพราะเป็นวัดที่เข้าข่ายว่าเคยได้รับการอนุมัติงบประมาณอุดหนุนวัดจาก นายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ. และมีข้อมูลว่ามีการทุจริตเงินบูรณะปฏิสังขรณ์วัด ผู้สื่อข่าวลองไปเดินสังเกตการณ์รอบ ๆ วัด ก็พบว่า ทางวัดมีการบูรณะปฏิสังขรณ์ในส่วนของพระวิหารหลวง และอาคารพระวิหารพระพุทธเมตตา ที่ใช้สำหรับพุทธศาสนิกชนเดินทางมาสักการะพระพุทธรูปและปฏิบัติธรรม จากการตรวจสอบพบว่าอาคารพระวิหาร 2 หลังดังกล่าว บูรณะตั้งแต่ปี 58 และการบูรณะก็ไม่ได้ใช้งบจากกรมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่เป็นการใช้เงินเรี่ยไรจากญาติโยมที่มีจิตรศรัทธาร่วมกันสร้างขึ้น
ผู้สื่อข่าวพยายามขอสอบถามข้อมูลจากเจ้าอาวาส แต่ก็ไม่สามารถสอบถามรายละเอียดใดๆได้ เพราะทางวัดบอกว่า ทางกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้มีคำสั่งห้ามให้วัดเปิดเผยข้อมูลใด ๆ เพราะจะไปกระทบกับกระบวนการตรวจสอบเอาผิดกับ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีทุจริตเงินทอนวัด
จากนั้นทีมข่าวเดินทางต่อไปที่วัดพิชัยญาติ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน เราพบว่ากำลังมีการบูรณะปฏิสังขรณ์ ศาลาการเปรียญอยู่ 1 หลัง แต่จากการสอบถามมัคทายกของทางวัด ก็บ่ายเบี่ยงให้ผู้สื่อข่าวไปถามข้อมูลทั้งหมดได้จากคณะกรรมการวัด ส่วนเจ้าอาวาสวัดพิชัยญาตินั้นวันนี้เดินทางไปรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาล แต่เมื่อทีมข่าวได้พบกับคณะกรรมการวัดที่ตึกเจ้าคณะ ก็ถูกบ่ายเบี่ยงที่จะให้ข้อมูล พร้อมกับเดินหนีเข้าไปในห้องทำงานทันที ผู้สื่อข่าวพยามยามพูดคุยกับทุกคนที่ได้พบในวัด ก็มีเจ้าหน้าที่วัดคนหนึ่งบอกกับเราว่า ทุกคนในวัดไม่มีใครกล้าให้ข้อมูลหรือตอบคำถามใดๆในเรื่องของกรณีเงินทอนวัด เพราะทางเจ้าหน้าที่ ป.ป.ป. ได้สั่งไว้
“เงินทอนวัด” เป็นวิธีการทุจริตเงินอุดหนุนวัดวิธีหนึ่ง ซึ่งตามปกติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะมีการจัดสรรงบที่เรียกว่า “เงินอุดหนุน” ที่จ่ายให้กับวัดในประเทศไทย โดยการของบเหล่านี้จะมีเพื่อจุดประสงค์ดังนี้
1. เพื่อไปปฏิบัติบูรณะซ่อมแซม
2. เพื่อการศึกษาพระปริยัติธรรม
3. เพื่อการเผยแผ่ ดำเนินกิจกรรมทางศาสนา
โดยวิธีการทุจริตมีรูปแบบ คือ เมื่อจะมีการโอนเงินอุดหนุนนี้จากส่วนกลางไปวัด จะมีผู้ที่เกี่ยวข้องก็ไปขอคืนโดยการโอน และจะตกลงกับวัดก่อนว่าต้องการเท่าไหร่ ก็จะทำเรื่องจากส่วนกลางโอนไปให้ แต่เป็นเงินที่มากกว่า แล้วจึงให้มีคนตามไปรับคืน หรือเรียกว่าเงินทอน ซึ่งมีทั้งการโอนเข้าบัญชีบุคคลและการทอนคืนเป็นเงินสด ๆ ก็มี
โดยจุดเริ่มต้นของการตรวจสอบการทุจริตเงินอุดหนุนวัดนั้น เกิดขึ้นเนื่องมาจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้รับเบาะแสการทุจริต จึงได้ทำการตรวจสอบจนพบความผิดปกติในเส้นทางการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จึงได้ส่งต่อข้อมูลให้กับกองปรามปราบฯ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 แล้ว และจากการตรวจสอบข้อมูลเงินงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ปี 2555 -2559 ที่มีการเบิกจ่าย 33 วัด ตามที่สตง.ส่งมานั้นมีทั้งเรื่องเก่าและเรื่องใหม่ คิดเป็นเงินประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งพฤติการนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ดำรงตำแหน่ง ผอ.พศ. เรื่อยมาถึงนายพนม ศรศิลป์ ซึ่งพฤติกรรมเหมือนกันคือไปบอกพระว่าจะให้เงินปฏิสังขรณ์วัดแล้วขอเป็นเงินทอน อย่างบางวัดให้ไปสองล้านขอเงินทอน คืนล้านสาม