สธ. ยัน เดินหน้าให้ ‘โควิด‘ เป็น ‘โรคประจำถิ่น‘ ชี้ไม่ขัดแย้ง WHO ชี้ไทยนำหน้าหลายเรื่อง พร้อมเตรียมลดวันกักตัว กลุ่มเสี่ยงสูง
เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 65 นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีองค์การอนามัยโลก(WHO) ออกมาระบุว่ายังเร็วเกินไปที่จะให้โควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่นในปีนี้ว่า จริง ๆ ก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไร เพียงแต่องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า ไม่ควรในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งกระทรวงฯ ก็ไม่ได้บอกว่าโควิดจะเป็นโรคประจำถิ่นในทันทีทันใด
นพ.โอภาส กล่าวว่า เราก็ได้เน้นสร้างความเข้าใจกับประชาชนว่าจะทำอย่างไรหากจะทำให้เป็นโรคประจำถิ่น คือ 1.เชื้อรุนแรงน้อยลง 2.คนได้ภูมิต้านทานมากขึ้น และ 3.สิ่งแวดล้อมเหมาะสม ทั้งด้านการแพทย์ด้วย ที่สำคัญ เกณฑ์ที่เราใช้ประเมินคือ อัตราเสียชีวิตจากโควิด-19 ต้องต่ำ เชื้อรุนแรงน้อย และประชาชนมีมาตรการ VUCA ซึ่งเราจะประเมินสถานการณ์ต่อเนื่อง และสร้างความร่วมมือจากประชาชนให้โควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่น
“คาดว่าหากคนร่วมมือกัน น่าจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นภายในปีนี้ ไม่ใช่วันนี้ พรุ่งนี้ ถ้าสังเกต องค์การอนามัยโลกและหลายประเทศก็พูดไม่ตรงกัน เพราะองค์การอนามัยโลกจะดูภาพรวมใหญ่ๆ แม้แต่อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ก็เริ่มจะคิดว่าจะเป็นโรคประจำถิ่น เราต้องอยู่ร่วมกับโควิด เสียงจะออกไปทำนองนี้” นพ.โอภาส กล่าว
นพ.โอภาส กล่าวว่า ประเทศไทยเราเอง ค่อนข้างนำหน้าองค์การอนามัยโลกและประเทศอื่นๆ ในหลายเรื่อง ตั้งแต่วัคซีนสูตรไขว้ การเปิดประเทศ ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) ส่วนครั้งนี้ก็เรื่องโรคประจำถิ่น เราก็ค่อนข้างพูดเร็วกว่าหลายประเทศ ดังนั้น ไม่ได้ขัดแย้งกัน เพราะเราดูในบริบทของประเทศ ที่มองไปข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการพิจารณาปรับนิยาม ‘กลุ่มเสี่ยงสูง’ และปรับระยะเวลาในการกักตัว ว่า ได้มีการประชุมกันไปแล้ว โดย กรณีกลุ่มเสี่ยงสูงให้มีการกักตัวอยู่ที่พัก 7 วัน และตรวจ ATK ในวันที่ 5-6 ของวันกักตัว หากผลเป็นลบก็สามารถออกมาใช้ชีวิตได้
แต่ยังต้องเฝ้าระวังสังเกตอาการตนเองอย่างเข้มข้น ต้องสวมหน้ากาก พยายามไม่พบปะผู้คนมาก เป็นระยะเวลา 3 วัน และเมื่อครบ 10 วันก็ตรวจ ATK อีกครั้ง ถ้าผลเป็นลบ ก็ถือว่าพ้นมาตรการกักตัว แต่ใช้ชีวิตโดยมีมาตรการป้องกันตัวสูงสุด หลังจากนี้ กรมควบคุมโรคจะจัดทำขั้นตอน และออกเป็นมาตรการอีกครั้งหนึ่ง