จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ได้เรียกเก็บเงิน เบี้ยผู้สูงอายุ คืนจากยายวัย 89 ปี เนื่องจากได้รับเงินบำนาญจากการเสียชีวิตของลูกชายที่เป็นทหาร ซ้ำซ้อนกับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจำนวน 84,000 บาท และทางด้านเจ้าหน้าที่ยังได้ยื่นข้อเสนอให้กับยายและครอบครัวผ่อนชำระเงินก้อนดังกล่าวเป็นเวลา 1 ปี โดยไม่มีดอกเบี้ย
ทางด้านของ ผศ.อุดม งามเมืองสกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ได้โพสต์ต้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในกลุ่มกฎหมายเรื่องใกล้ตัว ระบุว่า
อบต.จ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุไม่ถูกต้อง (นานรวม 10 ปี เพราะจ่ายซ้ำซ้อนกับเงินบำนาญพิเศษกรณีลูกชายคุณยายซึ่งเป็นทหารเสียชีวิต) กรมบัญชีกลางและ อบต. จะเรียกเงินเบี้ยคนชราคืนจากคุณยายปัจจุบันอายุ 89 ปี โดยจะเรียกเงินคืนย้อนหลัง รวมเป็นเงิน 84,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี ได้หรือไม่
ความเห็น
กรณีนี้เป็นกรณี “ลาภมิควรได้” ซึ่งหน่วยงานทางปกครอง คือ อบต. จะต้องใช้สิทธิฟ้องเรียกร้องในทางแพ่ง (ไม่ใช่คดีปกครอง เที่ยบเคียงคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 222/2560)
หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ ป.พ.พ. มาตรา 412 ดังนั้น หากคุณยายได้รับเงินเบี้ยผู้สูงอายุไว้โดยสุจริต (หากฟังข้อเท็จจริงได้ว่าคุณยายไม่ทราบข้อกฎหมาย/ปิดบังข้อเท็จจริงที่ตนใช้สิทธิซ้ำซ้อน) และหากคุณยายรับเงินไว้โดยสุจริต และได้นำไปใช้จ่ายหมดแล้วก่อนที่จะถูกเรียกคืน คุณยายจึงไม่ต้องคืนเงินดังกล่าว ตาม ป.พ.พ. มาตรา 412 (เทียบเคียงกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10850/2559)
กรณีนี้ถือเป็นความบกพร่องในการตรวจสอบตรวจทาน เป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของเจ้าหน้าที่ จึงต้องไปไล่เบี้ยกับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อต่อไป
ป.พ.พ.มาตรา 412 ถ้าทรัพย์สินซึ่งได้รับไว้เป็นลาภมิควรได้นั้นเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ท่านว่าต้องคืนเต็มจำนวนนั้น เว้นแต่เมื่อบุคคลได้รับไว้โดยสุจริต จึงต้องคืนลาภมิควรได้เพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10850/2559 จำเลยไม่มีสิทธิได้รับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญตามกฎหมาย แต่โจทก์จ่ายเงินดังกล่าวให้จำเลยไปโดยผิดหลง จึงเป็นเงินที่จำเลยได้รับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และทำให้โจทก์เสียเปรียบอันเป็นลาภมิควรได้ หาใช่เป็นเงินที่โจทก์มีสิทธิติดตามเอาคืนได้อย่างเจ้าของทรัพย์สินไม่ และเมื่อได้ความว่าจำเลยได้รับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญไว้โดยสุจริตและนำไปใช้จ่ายหมดแล้วก่อนที่โจทก์จะเรียกคืน จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 412
ทางด้านของ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ ได้โพสต์ถึงกรณีกล่าวผ่านเฟซบุ๊ก ทนายคลายทุกข์ ระบุว่า
ให้สัมภาษณ์เนชั่นทีวีประเด็นคุณยายถูกเรียกเงินคืนเกี่ยวกับเรื่องเบี้ยคนชราประมาณ 80,000 บาทเศษ เนื่องจากเป็นการรับสวัสดิการซ้ำซ้อนกับเงินบำนาญลูกชายซึ่งเป็นทหารตายกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น จ่ายเงินผ่านองค์การบริหารส่วนตำบลมาเป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ตรวจสอบว่าซ้ำซ้อน ความเห็นส่วนตัวข้าราชการเหล่านี้ไม่ตรวจสอบก่อนจ่ายเงินให้คุณยาย น่าจะบกพร่องต่อหน้าที่ควรถูกลงโทษทางวินัย และควรต้องรับผิดชอบคืนเงินแทนคุณยาย มากกว่าที่จะไปเรียกเงินจากคุณยายนะครับ
ส่วนอีกกรณีนึงเป็นกรณีที่จังหวัดชัยนาท คุณยายได้รับเบี้ยยังชีพคนชราซ้ำซ้อนและตายไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่กลับให้ลูกสาวทำหนังสือรับสภาพหนี้ ให้ผ่อนคืนทางราชการแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ผ่านมานั้นถ้าลูกหนี้ตายแล้วไม่มีทรัพย์สิน แต่มีหนี้สินทายาทไม่ต้องรับผิดเกินกว่ามรดกที่ตกทอดแก่ตนถ้าลูกสาวของคุณยาย ไม่ได้ทรัพย์มรดกจากคุณยายหลังจากคุณยายตาย ก็ไม่ต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้เงินที่จัดให้กับทางราชการก็น่าจะขอคืนได้นะครับ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ไปทำหนังสือรับสภาพหนี้กับลูกสาวของผู้ตายอาจจะมีความผิดทางวินัยนะครับเพราะรู้อยู่แล้ว ว่าทายาทของผู้ตายไม่ได้รับทรัพย์มรดกแต่ไปทำรับสภาพหนี้ให้ทายาทของผู้ตายต้องรับผิดไม่ถูกต้องนะครับอย่าทำ
อ่านข่าวที่น่าสนใจ
เคลียร์ เบี้ยผู้สูงอายุ ยายวัย 89 เจ้าหน้าที่แนะผ่อนจ่าย 10 ปี ไม่มีดอกเบี้ย
กรมบัญชีกลาง แจง เรียกเก็บเบี้ยผู้สูงอายุคืน 84,000 บาท จากยายอายุ 89 ปี