จากกรณีนายสันติ จึงทองดี หรือ เสี่ยไฮ้ เจ้าของโรงงานปุ๋ยใน อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี และนายนิวัฒน์ เฉลิมวัฒน์ หรือ “แจ๊ค” ลูกน้องคนสนิท ผู้ต้องหาหลบหนีคดีร่วมกันสังหารอำพรางศพ นางสาวกลิ่นเกษร วงษ์สิงห์ เซลล์ขายปุ๋ย ที่พบเป็นโครงกระดูกคารถเก๋งจมในคลองชัยนาท-ป่าสัก ต.หนองโป่ง อ.หนองโดน จ.สระบุรี นานกว่า 3 ปี หลังจากอัยการไม่สามารถสั่งฟ้องได้ทันจนต้องปล่อยตัวผู้ต้องหา
ล่าสุดนางลั่นทม วงษ์สิงห์ และ นางสุกัญญา จ้อยชู มารดาและน้องสาวของ นางสาวกลิ่นเกษร วงษ์สิงห์ ได้เผยรายละเอียดกับผู้สื่อข่าวว่า รู้สึกเห็นใจพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองโดน จ.สระบุรี ที่ทำคดีนี้เพราะทำงานกันอย่างเต็มที่ แต่ตลอดระยะเวลาในการสอบปากคำและหาพยานหลักฐานต่างๆ กลับไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ต้องหาเลย โดยคำให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีจะขอให้การในชั้นศาลอย่างเดียว
ทั้งที่พนักงานสอบสวนพยายามที่จะสอบหาข้อมูลในคดี และแจ้งความคืบหน้าให้ตนเองได้ทราบทุกระยะ นอกจากนี้ทางผู้ต้องหาในคดีนี้ยังได้ร้องเรียนไปยังสำนักงานอัยการภาค 1 ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากพนักงานสอบสวนและอัยการจังหวัดอีกด้วย จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 63 ได้ทราบว่าพนักงานสอบสวน ได้สรุปสำนวนสั่งฟ้องเสี่ยไฮ้และพวกไปที่สำนักงานอัยการจังหวัดสระบุรี
ทางตนจึงได้เดินทางไปขอทราบความคืบหน้าและได้ทราบว่าทางสำนักงานอัยการภาค 1 ได้ขอนำสำนวนการสอบสวนไปตรวจ รวมทั้งได้ส่งกลับคืนมาที่สำนักงานอัยการจังหวัดสระบุรี ในวันที่ 16 มี.ค.63 พร้อมกับให้มีการสอบสวนปากคำพยานเพิ่มอีกหลายคน ที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างสถานที่ ทั้งอยู่ที่ จ.เชียงราย จ.สงขลา พนักงานสอบสวนก็ยังเร่งดำเนินการ เพื่อให้ทันการครบกำหนดการฝากขังเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 18 มี.ค.63
แต่สุดท้ายก็มีการปล่อยตัวผู้ต้องหาออกมาจากเรือนจำสระบุรี ทำให้เสี่ยไฮ้และนายแจ๊คหนีคดีดังกล่าว โดยที่ทางตนเองและครอบครัวรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากคดีนี้มีหลักฐานพยานบุคคล พยานสิ่งแวดล้อม และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งตนเองก็ไม่เข้าใจว่าหากบริสุทธิ์จริงที่ผ่านมาทำไมไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งทราบว่ามีการใช้สิทธิในการเป็นผู้ต้องหาตลอด จนกระทั่งใกล้ระยะเวลาที่จะต้องส่งฟ้องถึงกลับมายื่นข้อร้องเรียนว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงทำให้ระยะเวลาในการสืบพยานต้องล่าช้าไป
ขณะที่ นางสุกัญญา น้องสาวผู้ตายกล่าวว่า แม้ตนเองจะสูญเสียพี่สาวไปแล้ว แต่รู้สึกเห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้ทุ่มเททำคดีนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งจากระยะเวลาในช่วงเหตุการณ์ที่ผ่านมาถึง 3 ปี แต่ภายในระยะเวลากว่า 70 วัน ที่เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมหาข้อมูลพยานหลักฐานมาประกอบสำนวนการส่งฟ้องศาลจนเต็มความรู้ความสามารถ เราก็ไม่อยากให้คนทำงานต้องเสียกำลังใจ และเวลาที่สูญเปล่าทุกวันนี้ลำบากมากที่ต้องเสียเสาหลักของครอบครัวไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นช่วงมีโรคโควิด-19 ทำให้ต้องดิ้นรนเพื่อลดภาระหนี้สิน ทั้งบ้านและรถยนต์ที่ถูกทิ้งน้ำไป โดยเฉพาะผู้ต้องหาที่ถูกยกฟ้องก็เป็นผู้ที่มีอิทธิพลทำให้ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยและอยู่กันแบบหวาดระแวง จึงอยากวิงวอนกับผู้ที่มีหน้าที่รับผิดขอบขอความเป็นธรรมกับครอบครัวตนเองและเร่งจับผู้ต้องหามาลงโทษตามกฎหมาย

