จากการประเมินผลกระทบของโควิด 19 ในภาคอุตสาหกรรมไทย ชี้ SME หรือ บริษัทขนาดเล็กที่ใช้เทคโนโลยีต่ำได้รับความเสียหายมากที่สุด รัฐควรมีมาตรการเลื่อนจ่ายภาษี
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะผู้บริหาร กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ให้เกียรติต้อนรับ Mr. Stein Hansen ผู้แทนและผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย (UNIDO) และ Ms. Gita Sabharwal ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UN) ในโอกาสที่ UNIDO ได้จัดทำรายงานผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย และได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและองค์การ UNIDO ในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ณ ห้องประชุม อก.2 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ จากการสำรวจออนไลน์ ผ่านความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภายใต้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และเครือข่ายยูนิโดในประเทศไท พบว่า บริษัทขนาดเล็กที่ใช้เทคโนโลยีต่ำได้รับความเสียหายมากที่สุดจากยอดซื้อที่ลดลง และการขาดแคลนวัตถุดิบที่เกิดจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน หากยังมีมาตรการควบคุมโรคต่อไป วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME เหล่านี้จะยิ่งเจ็บหนัก เนื่องจากยังต้องอุ้มพนักงาน จึงต้องหันไปกู้สินเชื่อและลดต้นทุนแทน รัฐจึงควรเข้าให้ความช่วยเหลือธุรกิจกลุ่มนี้ ด้วยมาตรการเลื่อนจ่ายภาษี การลดค่าใช้จ่ายภาคสังคมและต้นทุนในการดำเนินงาน รวมถึงค่าเช่าและค่าสาธารณูปโภค และเงื่อนไขสินเชื่อที่ผ่อนปรนมากขึ้น คือกลุ่มมาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลที่ผู้ประกอบการเห็นด้วยมากที่สุด
“ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SME คือกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องหาวิธีการใหม่ ๆ ที่เป็นนวัตกรรมในการช่วยเหลือให้บริษัทเหล่านี้สามารถรับมือต่อโรคโควิด 19 ได้ เพื่อรักษางานและค้ำจุนวิถีชีวิตของผู้คน วิธีการเหล่านี้อาจรวมถึงการให้คำปรึกษาเชิงรุกและการฝึกอบรม การสร้างแรงจูงใจสำหรับการลงทุนเพื่อเพิ่มผลิตภาพ การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสภาพอากาศ เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจ SME จะสามารถแข่งขันในตลาดต่อไปได้” กีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจำประเทศไทย กล่าว