กรมสุขภาพจิต เปิดผลสำรวจ สภาพจิตใจคนไทย ชี้คนไทยมีความเครียดและเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าสูง จากสถานการณ์โควิด19 ในปัจจุบัน
วันนี้ (11 ม.ค.65) พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยถึงความเครียดของประชาชนต่อการแพร่ระบาดระลอกใหม่โดยเฉพาะสายพันธุ์โอมิครอ พบว่า ประชาชนมีความเครียดอยู่ในระดับที่คงตัวยังไม่ได้พุ่งสูงขึ้น อีกนัยยะหนึ่งมองว่าเป็นผลดีที่ทุกคนมีความตระหนักต่อสถานการณ์การแพร่ระบาด และมีความเข้าใจกับตัวโรคมากขึ้นจากการรับข้อมูลข่าวสาร นอกจากความเครียดที่เกิดจากโควิดแล้วยังที่ต้องเฝ้าระวังความเครียดต่อสภาพสังคมและเศรษฐกิจด้วย
ทั้งนี้ ได้มีการประเมินสุขภาพจิตในระบบติดตามดูแลกลุ่มเสี่ยงด้านสุขภาพจิต https://checkin.dmh.go.th/ หรือ ระบบ Mental Health Check In ซึ่งผลการประเมินจะถูกส่งให้เครือข่ายงานสุขภาพจิต เพื่อติดตามช่วยเหลือต่อไป ข้อมูลวันที่ 9 มกราคม 2565 จากจำนวนผู้ตอบแบบประเมิน 2,579,026 รายพบว่า
- มีเครียดสูง 216,098 ราย ร้อยละ 8.38
- นำไปสู่ภาวะเสี่ยงซึมเศร้า 254,243 ราย ร้อยละ 9.86
- เสี่ยงฆ่าตัวตาย 140,939 ราย ร้อยละ 5.46
- มีภาวะหมดไฟ 25,552 ราย ร้อยละ 4.16
ซึ่งทั้งหมดจะต้องได้รับการดูแลด้านสุขภาพจิต รวมถึงการฟื้นฟูสุขภาพจิต ในผู้ป่วยที่มีภาวะ Long COVID-19 ที่หลังจากติดเชื้อแล้ว 3 เดือนยังคงมีอาการทั้งทางกายและจิตใจได้อยู่กว่าครึ่ง ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการดูแลเช่นกัน
ขณะเดียวกันมีผลสำรวจประชาชนในกลุ่มที่ยังคงมีความลังเลไม่รับวัคซีนโควิด อธิบดีกรมสุขภาพจิต ระบุว่า หลังจากได้ลงพื้นที่สร้างความเข้าใจ ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน และมีการติดตามจนถึงเดือนธันวาคม พบว่า 3 สาเหตุที่ทำให้ประชาชนกลุ่มนี้ปฏิเสธไม่รับวัคซีนโควิดในช่วงแรก ได้แก่
1.ความเชื่อมั่น
2.ความชะล่าใจ
3.ช่องทาง มีความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น
โดยเปลี่ยนใจมารับวัคซีนกันมากขึ้น ส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นประสิทธภาพต่อวัคซีน ที่เดิมอยู่ที่ร้อยละ 50 ก็ขยับขึ้นเกินกว่าร้อยละ 60 หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้ให้ความรู้แก่ประชาชน จึงมีความมั่นใจเปลี่ยนใจมารับวัคซีน ประกอบกับช่องทางการนัดหมายพบว่ามีการนัดหมายช่องทางที่สะดวกมากขึ้น รวมถึงเจ้าหน้าที่นำวัคซีนไปฉีดในจุดที่อาจเข้าถึงยาก ทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนถึงที่มากขึ้น