แม่ไม่ยอมลั่นคุก 20 ปี ครูฝึกโหด ยังน้อยเกินไป ส่วนรุ่นพี่ซ้อมทารุณโทษก็เบา พลทหารน้องเน เสียชีวิตแลกกับ 1 ชีวิตมันไม่ใช่
29 พ.ค. 68 “ทนายเกิดผล แก้วเกิด” โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า วันนี้มาฟังคำพิพากษา คดี ครูฝึกทหารเกณฑ์กับ ผู้ช่วย 13 คน ร่วมกันซ้อมทหารเกณฑ์ เสียชีวิตที่ค่ายนวมินทร์ จ.ชลบุรี ตาม พรบ.อุ้มหายฯ
จากกรณีที่ พลทหารวรปรัชญ์ พัดมาสกุล หรือ น้องเน อายุ 18 ปี สมัครใจเข้ารับการเป็นทหารเกณฑ์ ถูกครูฝึก ‘ซ่อมวินัย’ เสียชีวิต หลังเกณฑ์ทหารไม่ถึง 3 เดือน แพทย์ระบุสมองบวม ซี่โครงหัก 2 ข้าง ปอดฉีก ปอดรั่ว ไหปลาร้าหัก กระดูกสันหลังหัก
ต่อมาพนักงานอัยการ ได้ยื่นฟ้อง ครูฝึกและผู้ช่วยครูฝึกรวมทั้งหมด 13 คน เป็นจำเลยในความผิดฐาน ร่วมทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย และ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การทรมานและป้องกันการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ 2565 มาตรา 5ซึ่งในวันนี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 ได้อ่านคำพิพากษา โดยสรุป เนื้อความ ว่า
จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นครูฝึกทหารใหม่ ของค่ายนวมินทร์ โดยมีจำเลยที่ 3 ถึง 13 เป็นทหารเกณฑ์และได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็นผู้ช่วยครูฝึกทหารเกณฑ์ร่วมกันทำร้าย ผู้ตาย หลายครั้ง หลายเวลา ต่างกรรมต่างวาระ อย่างทารุณโหดร้าย จน ผู้ตายได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา
พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อ เนื่องจากพยานส่วนใหญ่เป็นทหารใหม่และเป็นทหารเกณฑ์ในค่ายนวมินทร์ที่จำเลยทั้ง 13 สังกัดอยู่ และเห็นเหตุการณ์ซึ่งถือว่าเป็นประจักษ์พยานโดยตลอด หากไม่เป็นความจริง พยานซึ่งเป็นทหารเกณฑ์และเป็นทหารใหม่ก็คงไม่กล้าใส่ความหรือใส่ร้ายป้ายสีทั้งไม่มีสาเหตุโกรธเครื่องกับจำเลยทั้ง 13 แต่อย่างใด
นอกจากนั้น คำให้การ ของจำเลย ทั้ง 13 ก็ยังมีพิรุธสงสัย และมีการต่อสู้โดยปฏิเสธลอยๆ ทั้งๆที่ ในชั้นพนักงานสอบสวนเมื่อ พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาว่า จำเลยทั้ง 13 เรื่องการทำร้ายร่างกาย พลทหาร ให้ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยทั้ง 13 ให้การรับสารภาพ โดยไม่ให้รายละเอียดใดๆ
แต่ต่อมาภายหลังจากที่พลทหารเสียชีวิต เมื่อพนักงานสอบสวน แจ้งข้อกล่าวหา เพิ่มเติม เป็นข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย จำเลยทั้ง 13 ก็ให้การปฏิเสธลอยๆ โดยไม่ให้รายละเอียด
ซึ่งในทางพิจารณาคดี พยานหลักฐานของโจทก์และของจำเลยก็รับฟังได้ว่าจำเลยทั้ง 13 ได้มีส่วนร่วมกันกระทำความผิดจริงตามฟ้อง เพียงแต่ต่างคนต่างทำ แต่ระยะเวลาและสถานที่ชัดเจนที่สุดว่าพลทหารเสียชีวิตในเวลาต่อมาเกิดจากการกระทำรุนแรงของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นครูฝึกได้ใช้ไม้ ทำร้ายโดยการทุบตี พลทหารจนถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา
ศาลจึงมีคำพิพากษา ว่าการกระทำความผิดของจำเลยทั้ง 13 มีความผิดตาม พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ 2565 มาตรา 5 และมาตรา 35 วรรค 3
พิพากษา
จำคุก จำเลยที่ 1 20 ปี
จำคุกจำเลยที่ 2 15 ปี
จำคุกจำเลยที่ 3 ถึง 13 คนละ 10 ปี
ในส่วนของพ่อแม่พลทหารที่เสียชีวิตยังติดใจคำพิพากษาเห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษน้อยเกินกว่าที่กระทำ ควรได้รับโทษมากกว่านี้ และจะได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไป
ในส่วนคดีแพ่ง หลังคัดคำพิพากษาได้แล้วผมจะยื่นฟ้องกองทัพบกเป็นจำเลยเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนให้กับพ่อแม่ของน้อง ตามกฎหมายต่อไป

แม่พลทหารรับไม่ได้ ครูฝึกรับโทษ 20 ปี
หลังฟังคำพิพากษา แม่ของพลทหารวรปรัชญ์ เตรียมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา เพราะ 1 ชีวิตของลูก แลกกับการติดคุก 20 ปี ถือว่าน้อยเกินไป และอาจติดคุกไม่ถึง 10 ปี หากมีการขอลดโทษ
ขณะที่ นางสาวนิชนันท์ วังคะฮาต อดีตผู้สมัคร สส.พรรคประชาชน ผู้ผลักดันคดี บอกว่า คำพิพากษาครั้งนี้ถือเป็น “หมุดหมายสำคัญ” การยุติความรุนแรงในค่ายทหาร ต้องขอบคุณกฎหมาย พ.ร.บ.อุ้มหาย ที่ทำให้มีช่องทางเรียกร้องความเป็นธรรม เพราะผู้เสียชีวิตไม่ได้ถูกทำร้ายครั้งเดียว แต่ถูกกระทำตั้งแต่วันแรกที่เข้าค่ายอย่างต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงาน นอกจากครอบครัวจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา จะยื่นฟ้องกองทัพบกเป็นจำเลยเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนด้วย เพราะจนถึงตอนนี้ครอบครัวได้รับเงินเยียวยาแค่ 200,000 บาท