หลังจากทีมชาติไทยภายใต้การกุมบังเหียนของหัวเรือคนใหม่ “โค้ชอากิระ นิชิโนะ” ชาวญี่ปุ่น เปิดหัวนัดแรกมาแบบไม่ค่อยสวยประทับใจแฟนบอลเท่าไหร่ ด้วยการเสมอกับคู่รักคู่แค้น พลพรรคดาวทอง ทีมชาติเวียดนาม ของโค้ชปาร์ค ฮัง ซอ ชาวเกาหลีใต้ ไปแบบ ‘ไร้สกอร์’ ก็ทำให้เกิดกระแสดราม่าในประเด็นต่างๆทั้งในเกมและหลังจบเกมกันไปมากมาย นำมาซึ่งการตามติดใกล้ชิดทัพช้างศึกกันแบบเข้มข้นรายวันเลยทีเดียว
ในเกมที่เราจะต้องบุกไปดวลแข้ง “การูด้า” ที่สนามเสนายัน (ชื่อเดิม) หรือในชื่อใหม่ว่า “เกอโลราบุงการ์โน” แฟนบอล รวมไปถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเอง ก็ยังคงหวั่นวิตกอยู่มิน้อย เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็น นรกทีมเยือนของจริง!
ซึ่งใครที่เป็นแฟนกีฬาฟุตบอลทุกคน ต้องรู้จักที่นี่ไม่มีลืมแน่นอน เพราะเมื่อครั้งในอดีตตอนกีฬาซีเกมส์รอบชิงชนะเลิศเมื่อปี 1997 ยุคดรีมทีมที่มีทั้งซิโก้ ,ตะวัน,ดุสิต ฯลฯ ทีมชาติไทยแม้จะเป็นเบอร์หนึ่งในยุคนั้น ยังต้องเอาตัวรอดจากการก่อจลาจลจุดไฟเผาบนอัฒจรรย์ของแฟนบอลเจ้าถิ่น หรือแม้แต่ การโดนแฟนบอลอิเหนาปาก้อนหินลงมาทำร้ายนักเตะในสนาม จนเกือบจะยกเลิกการแข่งขัน
แต่ท้ายที่สุดก็ยังคว้าชัยชนะเจ้าบ้านมาในแบบทะลักทุเลด้วยการยิงจุดโทษตัดสินท้ายเกม แบบไม่มีใครลืมลงเลยทีเดียว …
บาดแผลในครั้งนั้น มันจึงเป็นภาพจำที่ใครๆก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเหตุการณ์แบบนั้น เพิ่งกลับมาหลอกหลอนแฟนบอลอีกครั้ง เมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา ในนัดที่มาเลเซียบุกไปเยือนและคว้า 3 แต้มออกมาจากรังอิเหนาได้ แต่ก็เกิดเหตุจราจล และมีการทำร้ายแฟนบอลมาเลเซีย ถึงขั้นต้องขนย้ายนักเตะมาเลย์นั่งรถหุ้มเกราะออกจากสนามกันเลย
สิ่งที่แฟนบอลคาดหวังมากที่สุดในนัดนี้ คือ ทำอย่างไรที่จะเก็บ 3 แต้มออกมาได้ ! เพราะจากสถิตินัดล่าสุดที่เราพบกับอินโดนีเซีย ในนามทีมชาติชุดใหญ่ เราเจอกันเมื่อปี 2016 เราแพ้ที่บ้านเขา 1-2
ซึ่งถ้าย้อนอดีตไปนัดก่อนหน้านั้นอีก เราก็แพ้ด้วยสกอร์นี้ด้วย ฉะนั้น นี่คือสิ่งที่บ่งบอกว่า นัดที่เราจะพบกับแข้งการูด้าค่ำวันนี้ บอกได้เลยว่า “ยากมากๆ” โดยนัดที่เราสามารถบุกไปชนะพลพรรคการูด้าได้ถึงถิ่นเสนายัน เกิดขึ้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ในเกมซูซูกิ คัพ รอบรองชนะเลิศ (นัดแรก) ซึ่งเราชนะมาได้ในสกอร์ 0-1 และผู้ที่ทำประตูอินโดนีเซียได้ในครั้งนั้น (ธีรศิลป์ แดงดา) เขาไม่ได้ติดมาในทีมชุดนี้ เนื่องจากอาการบาดเจ็บรบกวน

แต่ความเป็นไปได้ใช่ว่าจะไม่มี! … จากที่เห็นพัฒนาการของนักเตะที่โค้ชนิชิโนะเลือกมาในชุดนี้ ในการเล่นด้วยกันเมื่อนัดที่แล้วที่สนามธรรมศาสตร์ รังสิต ก็ยัง “มีหวัง” นะครับ
ในมุมมองการวิเคราะห์ของผม เห็นว่า นัดที่แล้ว เราพบกับทีมที่ผมรู้สึกว่า แข็งแกร่งที่สุดในอาเซียนตอนนี้ เรามีทรงดีพอที่จะเอาชนะได้ ทั้งๆที่เรามีเวลาเตรียมทีมกันสั้นมาก ผนวกกับ ความใหม่ของโค้ช และนักเตะบางตำแหน่งที่เพิ่งก้าวมาติดทีมชาติ ก็ต้องชมว่า นิชิโนะ ปรับแผนการเล่นได้ดีพอสมควร
อีกประเด็นที่ผมคิดว่าเรามีทางพอที่จะกำชัยได้ คือ ลักษณะการเล่นบอลของทีมชาติอินโดนีเซีย เขามักจะเก่งในบ้าน เล่นตามเสียงเชียร์ เชื่อว่าอินโดฯต้องบุกแหลกแบบไม่มีทางเลือก เพราะพวกเค้าพลาดท่าปราชัยให้มาเลเซียคาบ้านมาแล้ว หากนัดนี้เรานิ่ง มีสมาธิมากพอ และเล่นไปตามแท็คติกโค้ช อย่าไปตามเกมของฝั่งตรงข้ามที่พร้อมจะเข้าหนักอยู่แล้ว
ท้ายที่สุด พวกเขาจะกดดันตัวเอง จนทำให้เรามีช่องสวนกลับไปทำเกมในพื้นที่อันตรายได้มากขึ้นแน่นอน คาดว่าเกมนี้ นิชิโนะ กุนซือชาวญี่ปุ่น น่าจะใช้รูปแผนการเล่นแบบเดิม แต่เปลี่ยนแปลงผู้เล่นบางตำแหน่งเพื่อความเหมาะสม และยังคงเน้นการครองบอลและต่อบอลทำเกมจากแดนหลัง เพื่อให้แนวรุกที่อยู่ในแดนหน้าอย่าง ชนาธิป, สุภโชค หรือศุภชัย ทะลวงตาข่ายทำประตูให้ได้นั่นเอง

เรื่องที่น่าห่วงมากที่สุดอีกหนึ่งเรื่อง คือสตาร์เจลีกอย่างเจ้านิว ฐิติพันธ์ ต้องถอนตัวออกไป จากอาการบาดเจ็บเมื่อนัดที่แล้ว ก็อาจมีกระทบการทำเกมในแดนกลางไปบ้าง เพราะเจ้านิวมีสถิติที่ดีในการช่วยทีมตัดเกมคู่ต่อสู้ได้หลายๆจังหวะ
แต่ลึกๆยังเชื่อว่าตัวแทนที่จะมาทำหน้าที่ประสานงานกับอุ้ม ธีราทร และ เจ ชนาธิป น่าจะเป็นมดงานที่รู้งานไม่ต่างกัน เพราะผู้เล่นที่กุนซือแดนซามูไรเลือกมาครั้งนี้ หน้าตาและฝีเท้าไม่ขี้เหร่เลย ส่วนผู้เล่นคนสำคัญทางฝั่งอินโดนีเซียที่อยากฝากบรรดาแดนหลังของเราโฟกัสเป็นพิเศษ ก็น่าจะเป็น เจ้าเบโต กอนซาเวส หัวหอกหมายเลข 9 ที่เหมาคนเดียวสองประตูในเกมที่ผ่านมา

แน่นอนครับแฟนๆ! วันนี้ วันที่ 10 เราคงต้องเอาใจช่วย หมายเลข 10 คนใหม่ อย่างเมสซี่เจ “ชนาธิป สรงกระสินธ์ ให้โชว์ฟอร์มเหนือชั้น จนข่มคู่ต่อสู้และเสียงกดดันอันมหาศาลในสนามเสนายันให้จงได้
เพราะเบอร์ 10 คนเก่าอย่างเจ้ามุ้ย ธีรศิลป์ แดงดา ก็ยิงดับซ่าแข้งการูด้ามาแล้ว ผมอยากเห็นการสร้างประวัติศาสตร์ในค่ำนี้จริงๆ ขอแค่สกอร์เดิม 1-0 แม้ไม่มากมาย แต่ความสุขและศรัทธาของแฟนบอลไทย “มากล้น” แน่นอน
ได้แต่หวังลึกๆว่า“วันที่ 10 วันนี้ จะเป็นวันของเบอร์ 10 ของเราอีกครั้ง”
“นาซ่าบ้าบอล”