“บิ๊กตู่” หนุนยุทธศาสตร์ “ริเริ่มสายแถบและเส้นทาง” ชี้เป็นยุทธศาสตร์สำคัญกำหนดทิศทางพัฒนาของโลก พร้อมตั้งเป้าสรุปเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วน “RCEP” ภายในปีนี้
เมื่อวันที่ 26 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์ระหว่างการประชุมระดับสูง (High Level Meeting) ในช่วงการประชุมข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation) ครั้งที่ 2 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติจีน กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า อาเซียนและไทยมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีนมายาวนาน จึงรู้สึกชื่นชมและยินดีที่ได้เห็นจีนพัฒนาเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดด จนกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเอเชียและของโลก
ทั้งนี้ ไทยในฐานะประธานอาเซียน มีความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนความสัมพันธ์ที่สำคัญนี้ ให้ก้าวหน้าต่อไปภายใต้แนวคิด “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” และเห็นว่ายุทธศาสตร์การริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (BRI) หรือยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมใหม่ จะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่จะกำหนดทิศทางการพัฒนาเชิงยุทธศาสตร์ของโลกต่อไป
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ BRI มีความสอดคล้องกับเป้าหมาย และหลักการของอาเซียนและประเทศในภูมิภาค ดังนี้
ประการแรก ยุทธศาสตร์ BRI จะช่วยส่งเสริมความร่วมมืออย่างสร้างสรรค์เพื่อความเจริญรุ่งเรือง สันติภาพและอนาคตร่วมกัน ซึ่งเราต้องร่วมมือกันรักษาและส่งเสริมบรรยากาศแห่งสันติภาพ และความร่วมมือทั้งในระดับอนุภูมิภาค ภูมิภาคและโลก ทั้งนี้ ขอยืนยันว่าไทยจะยังคงมุ่งสร้างความร่วมมือกับหุ้นส่วนทั้งในและนอกภูมิภาค บนพื้นฐานของความโปร่งใสและความผลประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของ BRI
ประการที่สอง ประเทศไทยและอาเซียนเห็นว่า “การเชื่อมโยง” เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนและการบรรลุ SDGs ดังนั้น เราจึงต้องเร่งรัดความร่วมมือต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเชื่อมโยงทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ความเชื่อมโยงทางกายภาพ กฎระเบียบ ดิจิทัล และประชาชนให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
โดยในด้านกายภาพ ไทยและอาเซียนเล็งเห็นความสำคัญของการเชื่อมต่ออาเซียนสู่โลกผ่าน BRI โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทาง NSEC การพัฒนาเส้นทาง EWEC และเส้นทาง R9 นอกจากนี้ EEC จะเป็นหนึ่งในโครงการแม่แบบในการสร้างฐานเพื่อเชื่อมโยงไทยเข้ากับประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาคใกล้เคียงทั้งทางบก อากาศ น้ำและทางรางในรูปแบบการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ
ทั้งนี้ ไทยจะร่วมกับอาเซียนในการขับเคลื่อนแม่บทของอาเซียนว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (MPAC 2025) และแผนแม่บท ACMECS Master Plan ปี ค.ศ. 2019-2023 จึงขอเชิญชวนจีนให้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาของ ACMECs เพื่อขับเคลื่อน BRI ในอาเซียนและการส่งเสริมแนวคิด “การเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ความเชื่อมโยง”
ส่วนด้านกฎระเบียบ การส่งเสริม “ความเชื่อมโยงทางการค้า” โดยการเร่งรัดการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ที่ไทยตั้งเป้าที่จะผลักดันให้ได้ข้อสรุปภายในปีนี้ รวมทั้งการใช้ประโยชน์จาก ASEAN Single Window
ด้านดิจิทัล โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ และสร้างโอกาสให้ชุมชนห่างไกล ชุมชนด้อยโอกาสต่างๆ ไทยจึงยินดีที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สนใจจะร่วมมือกับจีนและฮ่องกงในโครงการเคเบิลใต้น้ำระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกระบบใหม่
ด้านประชาชน ยุทธศาสตร์ BRI จะช่วยส่งเสริมความมั่งคั่งที่ยั่งยืนและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์ที่ไทยต้องเร่งดำเนินการ เพื่อพร้อมรับการปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ ๆ เพื่อให้ “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ของการพัฒนา ไทยให้ความสำคัญต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพซึ่งโปร่งใส เปิดกว้างและครอบคลุม และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
ประการสุดท้าย ควรร่วมมือกันจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อสนับสนุนโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์ BRI ที่สอดคล้องกับมาตรฐานและความต้องการของพลเมืองของเรา ซึ่งอาจเป็นรูปแบบของกองทุนสำหรับการพัฒนาเป็นการเฉพาะ ซึ่งในส่วนของอาเซียนนั้น ที่ประชุมรัฐมนตรีคลังของอาเซียนได้มีดำริเกี่ยวกับการส่งเสริมแหล่งเงินทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบพื้นฐานที่ยั่งยืน
“ไทยต้องการเห็นยุทธศาสตร์ BRI ประสบความสำเร็จ และต้องการเห็นไทย อาเซียน จีน และมิตรประเทศทุกประเทศ ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดอย่างฉันท์มิตร อย่างสร้างสรรค์ เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อสันติภาพของภูมิภาคและของโลก และเพื่อการพัฒนามั่งคั่งของพลเมืองของเรา โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว