สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่ง 1.3% ปิดที่ 53.10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หลังซาอุดีอาระเบียประกาศปรับลดกำลังการผลิตอีก 5 แสนบาร์เรล/วันในเดือนหน้า
เมื่อคืนวันอังคาร (12 ก.พ.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) งวดส่งมอบเดือนมี.ค. ปิดที่ 53.10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.69 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 1.3% ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ งวดส่งมอบเดือนเม.ย. ปิดที่ 62.42 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.91 เหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 1.5%
สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังซาอุดีอาระเบียประกาศว่าจะลดกำลังการผลิตน้ำมันลงสู่ระดับ 9.8 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนมี.ค. หรือลดลง 500,000 บาร์เรล/วัน จากเดือนก่อน เพื่อสนับสนุนราคาน้ำมัน
ขณะที่รายงานประจำเดือนก.พ.ของกลุ่มโอเปก เผยว่า กำลังผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกลดลง 800,000 บาร์เรล/วัน สู่ระดับ 30.81 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนม.ค.
อย่างไรก็ตาม รายงานของโอเปกระบุว่า โอเปกได้ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยโอเปกคาดว่า ความต้องการใช้น้ำมันโลกจะขยายตัวเพียง 1.24 ล้านบาร์เรล/วัน หรือลดลง 50,000 บาร์เรล/วัน จากตัวเลขคาดการณ์ในเดือนก่อน
นอกจากนี้ นักลงทุนมีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับผลเจรจาข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้ง 2 ชาติ จะประชุมกันในสัปดาห์นี้ และหวังว่าการเจรจาจะได้ข้อยุติก่อนวันที่ 1 มี.ค.
ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงติดตามข้อมูลสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ (13 ก.พ.) เวลา 22.30 น.ตามเวลาไทย
ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลล์สำรวจของเอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 2.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 ก.พ. และคาดว่าสต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล แต่คาดว่าสต็อกน้ำมันกลั่นซึ่งรวมถึงน้ำมันฮีทติ้งออยล์และดีเซล จะลดลง 800,000 บาร์เรล