รายงานพิเศษ : เปิดรอยร้าว “พลังประชารัฐ” สะเทือนดีล “ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์” กับไพ่ตายในมือ “สามมิตร”
กลายเป็นว่าสถานการณ์ฟอร์มคณะรัฐมนตรี “ประยุทธ์ 2” กลับมาฝุ่นตลบอีกครั้ง เมื่อกลุ่ม “สามมิตร” ยังเคลื่อนไหวกดดันให้แกนนำพรรคพลังประชารัฐ รักษาโควต้า “กระทรวงเกรดเอ” มากกว่าจะปล่อยให้ “ตัวแปร” พรรคร่วมรัฐบาล “ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์” หยิบชิ้นปลามันเข้าคุมการบริหาร โดยเฉพาะกระทรวงสำคัญตั้งแต่ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรฯ ไปถึงกระทรวงพาณิชย์
กลุ่มกระทรวงเหล่านี้ “พลังประชารัฐ” เคยใช้เป็นนโยบายหาเสียงก่อนเลือกตั้ง 24 มี.ค. แต่กลับเป็นนโยบายหาเสียงเดียวกับหลายพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งตัดสินใจมารวมเสียงเพื่อตั้งรัฐบาลในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันโหวตนายกฯ 5 มิ.ย. แต่กลับกลายเป็นว่าการร่วมรัฐบาลครั้งนี้ต้องแลกด้วย “เงื่อนไข” พิเศษเพื่อ “ต่อรอง” เข้าคุมกระทรวงสำคัญทั้งหมด ทำให้แกนนำพลังประชารัฐที่เดินสายเจรจาก่อนหน้านี้ อยู่ในภาวะ “หลังพิงฝา” บนโต๊ะเจรจาพรรคร่วมรัฐบาล เพราะสถานการณ์ภายในพรรคยังมีกลุ่ม “สามมิตร” เดินหน้ากดดันท่าทีแกนนำพลังประชารัฐจนกว่าจะฟอร์มรัฐบาลใหม่สำเร็จ

จึงเกิดภาพการแถลงของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” หัวเรือกลุ่มสามมิตรออกมาประกาศทวงเก้าอี้ “รมว.เกษตรฯ” ด้วยเหตุผลว่า เป็นหนึ่งในคำสัญญาต่อการหาเสียงไปแล้ว ขีดเส้นใต้ไปที่การปัดฝุ่นโครงการ “โคล้านตัว” เมื่อรวมกับท่าทีที่ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” พยายามผลักดันให้พลังประชารัฐ ยื้อกระทรวงด้านเศรษฐกิจเอาไว้ ตั้งแต่กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทวงคมนามคม เพื่อถือความได้เปรียบให้พลังประชารัฐต่อยอดออกนโยบายด้านเศรษฐกิจให้เป็น “แพคเกจ” เดียวกันทั้งหมด
หากมองไปที่ “กระทรวงเกรดเอ” ที่กำลังถูก “ล็อคเป้า” จากพรรคร่วมรัฐบาล จากตัวเลขในพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2562 รวมกับกลไกที่จะเกิดขึ้นจากโครงการลงทุน-ช่วยเหลือ-ประกันรายได้สารพัด จะเห็นชัดว่าหากพรรคได้เข้ามาบริหารสำเร็จ จะถือข้อได้เปรียบเหนือพรรคการเมืองอื่นที่ไม่ได้คุมกระทรวงเหล่านี้ จากกลไกสำคัญใช้เรียกคะแนนเสียงก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไป

โดยเฉพาะงบประมาณกระทรวงสำคัญที่ได้จากพ.ร.บ.งบปี 2562 อาทิ กระทรวงการคลัง งบประมาณ 242,948 ล้านบาท กระทรวงกลาโหม งบประมาณ 227,126 ล้านบาท กระทรวงมหาดไทย งบประมาณ 371,801 ล้านบาท กระทรวงคมนาคม งบประมาณ 179,598 ล้านบาท กระทรวงเกษตรฯ งบประมาณ 108,996 ล้านบาท หรือกระทรวงพาณิชย์ งบประมาณ 6,889 ล้านบาท
ทำให้ท่าทีของ 3 แกนนำคนสำคัญ “สมศักดิ์-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-อนุชา นาคาศัย” และอีก 30 ส.ส. ยังส่งสัญญาณทวงโควต้ารัฐมนตรีให้พลังประชารัฐ ด้วย “ต้นทุน” ที่ยังมีเหนือกว่าหลายมุ้งในพรรค กลายเป็นแรงเสียดทานที่เปิดแผลรอยร้าวภายในมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ “สามมิตร” เป็นหนึ่งในกลุ่มการเมืองที่เดินสายไปหลายจังหวัด เพื่อเจรจาดึงส.ส.จากมุ้งต่างๆ เข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐได้จนสำเร็จ ดังนั้นหากไม่มี “สามมิตร” วันนั้น อาจจะไม่มี “พลังประชารัฐ” ถึงทุกวันนี้
ท่าทีล่าสุดกลุ่มสามมิตรจะเตรียมเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ รื้อโควต้ารัฐมนตรีกับพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ เพื่อยืนยันไม่ให้โควต้า “รมว.พาณิชย์-รมว.เกษตรและสหกรณ์” ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ เช่นเดียวกับการที่จะไม่ให้ “รมว.คมนาคม” ให้พรรคภูมิใจไทยด้วย

จึงเป็นที่มากระแสข่าวล่าสุดต่อการ “ล้มดีล” พรรคร่วมรัฐบาลก่อนหน้านี้ ทำให้สถานการณ์ขณะนี้ถูกบีบส่งไปให้ว่าที่นายกฯ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นำรายชื่อพร้อม “เงื่อนไข” เจรจาของแต่ละพรรคการเมือง นำมากางใหม่บนโต๊ะเพื่อยุติ “แรงกระเพื่อม” ภายในพรรคพลังประชารัฐให้เร็วที่สุด เพราะยังไม่มีใครรับประกันได้ว่า จากนี้จุดยืนของ “สามมิตร” จะเป็นอย่างไร หากที่สุดแล้ว “พลังประชารัฐ” ยอมปล่อยกระทรวงหลักเพื่อ “เอาใจ” พรรคร่วมรัฐบาล มากกว่าสนับสนุนกลุ่มก้อนในพรรคของตัวเอง
ยิ่งการประเมินอายุของรัฐบาล “ประยุทธ์ 2” ซึ่งอยู่ในภาวะเสียงปริ่มน้ำต่อการบริหารราชการแผ่นดินหลังจากนี้ ยังสุ่มเสี่ยงถูกยุบสภาฯได้ทุกเมื่อ เมื่อนั้นจะได้เห็นท่าที “ส.ส.สามมิตร” ถือไพ่เหนือกว่าแกนนำพลังประชารัฐแค่ไหน หากไม่ยอมทำตาม “ข้อเสนอ” ที่เรียกร้องใว้
เมื่อนั้นอาจได้เห็นปฏิกิริยาของสามมิตรไม่ต่างจากกลุ่ม “เพื่อนเนวิน” ที่เคยประกาศตัดสินใจย้ายขั้วจาก “พลังประชาชน” มาแล้ว