กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจับมือ “กสศ.” ตั้งเป้าแก้เหลื่อมล้ำทางการศึกษา พร้อมปฏิรูประบบเงินอุดหนุนนักเรียนยากจน นำร่อง 10 จังหวัดในปีการศึกษา 62
4 เม.ย.62-ที่โรงแรมเอเชีย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น(สถ.) กระทรวงมหาดไทย ลงนามความร่วมมือกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา(กสศ.) เพื่อดำเนินโครงการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนแบบมีเงื่อนไขในสถานศึกษาสังกัดอปท. และโครงการการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาใน 10 จังหวัดนำร่อง โดยมีผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและโรงเรียนเข้าร่วมกว่า 150 คน
นายทวี เสริมภักดีกุล รองอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกสศ.ในครั้งนี้ ถือเป็นการปฏิรูปแนวทางการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในระดับท้องถิ่น แต่ผลลัพธ์ปลายทางจะนำไปสู่ทางออกของประเทศในการแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเครื่องมือที่เป็นนวัตกรรม ได้แก่ ระบบข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อความเสมอภาค(iSEE) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่(Big Data) เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ หรือนักเรียนทุนเสมอภาค และการติดตามนักเรียนผลการสนับสนุนนักเรียนเป็นรายบุคคลอย่างครบวงจร ซึ่งจะช่วยให้การจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ สะดวกและยกระดับการทำงานของสถานศึกษาสังกัดอปท. ครูในการคัดกรอง ติดตามนักเรียนเป็นรายบุคคลตรงตามสภาพปัญหาโดยเฉพาะนักเรียนด้อยโอกาส และกลุ่มเสี่ยงที่จะหลุดนอกระบบ อีกทั้งระบบนี้ยังช่วยลดภาระงานเอกสารและการจัดการข้อมูลของครู และผู้บริหารสถานศึกษาขณะที่สถานศึกษาในสังกัดอปท. ยังสามารถใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลนี้ พัฒนาคุณภาพนักเรียนได้ในระยะยาว
“โครงการนี้ก่อให้เกิดการปฏิรูปกลไกการจ่ายเงินอุดหนุนของภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้ระบบข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเท มีเกณฑ์การคัดกรองนักเรียนยากจนและกลไกตรวจสอบหลายระดับจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นทั้งแก่นักเรียนผู้ปกครอง และสังคมเป็นโครงการที่โปร่งใสตรวจสอบได้ส่วนก้าวต่อไปที่จะเกิดขึ้นใน3 ปีนั้นคืออปท. จะสนับสนุนการค้นหาบันทึกข้อมูลตรวจสอบและรับรองข้อมูลผลการคัดกรองกลุ่มเด็กปฐมวัยนักเรียนในระบบนอกระบบที่ยากจน และด้อยโอกาสเพื่อเป็นข้อมูลให้กสศ.นำไปค้นหาเด็กกลุ่มนี้ต่อไป”นายทวีกล่าว
ด้านนพ.สุภกร บัวสาย ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่าโครงการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนแบบมีเงื่อนไขในสถานศึกษาสังกัดอปท. เป็นการช่วยเหลือนักเรียนยากจนพิเศษที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยกสศ. จัดสรรเพิ่มเติม ในส่วนที่ยังไม่เคยมีหน่วยงานใดสนับสนุนให้แก่นักเรียนกลุ่มนี้มาก่อน เพื่อบรรเทาอุปสรรคการมาเรียนลดความเสี่ยงในการหลุดออกจากระบบการศึกษา โดยในปีการศึกษา 2562 จะมีโรงเรียนในสังกัดอปท.เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 377 แห่งใน 10 จังหวัดได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ขอนแก่น ร้อยเอ็ด นนทบุรี สระแก้ว กาญจนบุรี สุราษฎร์ ภูเก็ต ยะลา ภายใต้การจัดสรรเพิ่มเติม 1,000 บาทต่อคนและต่อภาคเรียน ในระดับอนุบาล–ประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
“ในช่วงเดือนพฤษภาคม จะเข้าสู่กระบวนการคัดกรองความยากจนของนักเรียน โดยมีกลไกการตรวจสอบหลายระดับเพื่อสร้างความมั่นใจทั้งแก่นักเรียนผู้ปกครอง และสังคมว่าเงินอุดหนุนนี้ จะสามารถช่วยเหลือนักเรียนที่กำลังเดือดร้อนที่สุดได้อย่างแท้จริงอย่างโปร่งใส่ และสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน“นพ.สุภกรกล่าว
ขณะที่ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า ครัวเรือนที่มีฐานะยากจนที่สุด10% แรกของประเทศ มีภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบในการส่งบุตรหลานเข้าเรียน (เทียบกับรายได้) ในสัดส่วนที่สูงกว่าครัวเรือนในชั้นรายได้อื่น ไม่ว่าจะเป็นค่าเล่าเรียนค่าธรรมเนียมการศึกษา ค่าเครื่องแบบ ค่าสมุดหนังสือ อุปกรณ์การเรียนอื่นๆ และค่าเดินทางไปเรียน ซึ่งโดยเฉลี่ยครัวเรือนทั่วไปที่ส่งบุตรหลาน 1 คนเข้าเรียนยังโรงเรียนรัฐในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานมีค่าใช้จ่ายตกคนละ 5,000 –12,000 บาทต่อคนต่อปี หากประเมินครัวเรือนที่มีฐานะยากจนที่สุด มีค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรหลานคิดเป็นร้อยละ 23-52 ของรายได้ซึ่งสูงกว่าครัวเรือนในชั้นรายได้อื่นๆ สะท้อนให้เห็นภาระค่าใช้จ่ายที่ครัวเรือนยากจนต้องแบกรับ จึงเป็นสาเหตุให้ทุกๆปีมีเด็กที่หลุดออกนอกระบบการศึกษาในที่สุด โดยปัจจุบันเรามีเด็กเยาวชนอายุ 3-18 ปีที่อยู่นอกระบบการศึกษาประมาณ 670,000 คน
“การอุดหนุนทางการเงินแบบมีเงื่อนไขของกสศ. มีเป้าหมายเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของนักเรียนกลุ่มนี้ เพื่อป้องกันมิให้หลุดออกจากระบบการศึกษา เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในระยะยาว จากประสบการณ์ในโครงการเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนอย่างมีเงื่อนไข ที่กสศ.ดำเนินการร่วมกับสพฐ. ในปีการศึกษา 2561 ช่วยให้โรงเรียนสังกัดสพฐ. ได้รับเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนเพิ่มขึ้น จากหลักเกณฑ์เดิมจำนวน 21,983 โรงคิดเป็น 74.37% และมีโรงเรียนในพื้นที่ชนบทห่างไกลที่มีนักเรียนยากจนที่ได้รับจัดสรรช่วยเหลือเต็ม 100 % จำนวน 388 โรงเรียน จากเดิมที่โรงเรียนเหล่านี้จะได้รับการจัดสรรจะได้เพียงร้อยละ 30-40 ของจำนวนนักเรียนทั้งโรงเรียน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ในปีการศึกษาหน้าสถานศึกษาสังกัดอปท. จะได้รับการจัดสรรงบประมาณ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ตรงตามความต้องการที่แท้จริง เป็นรายบุคคลทุกโรงเรียนอย่างแท้จริง” ดร.ไกรยส กล่าว