ผู้ว่าฯ แจงผลสอบชุดแคร์เซ็ต หลัง อบจ.ลำพูน จัดทำพบการซื้อไม่ชอบด้วยระเบียบช่วยเหลือประชาชนด้วยสาธารณภัย ต้องคืนเงินเต็มจำนวนกว่า 16 ล้านบาท
จากกรณีกระแสข่าวในโลกออนไลน์ หลายสื่อแห่เปิดโปง อบจ.ลำพูด ใช้เงินจำนวน 16 ล้านบาท จัดซื้อชุดแคร์เซ็ตให้กับผู้สูงอายุ ที่ต้องอยู่บ้านตามคำสั่งของจังหวัดเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อจากโรคระบาด โควิด-19 ชุด แคร์เซต รวมทั้งหมด 27,700 ชุด ชุดละ 590 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 16 ล้านบาท ประกอบด้วย ผ้าเช็ดหน้า จำนวน 2 ผืน แปรงสีฟัน 1 ด้าม ยาสีฟัน 1 หลอด สบู่อนามัย 1 ก้อน แชมพู 1 ขวด แก้วน้ำพลาสติกมีด้ามจับ 1 ใบ จานเมลามีน 1 ใบ ช้อนและส้อมสแตนเลส 1 คู่ หน้ากากผ้าปิดจมูก 3 ชิ้น เจลแอลกฮอล์ 1 อัน ผ้าเช็ดตัว 1 ผืน จนมีคนทักท้วงเป็นจำนวนมาก ว่า ทำไมของที่ซื้อราคาแพง ข้างในไม่เห็นมีอะไรเลย กระทั่งทำให้ นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เบื้องต้นขอเวลา 1 สัปดาห์
ล่าสุด เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่ศาลากลางจังหวัดลำพูน นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า หลังสั่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน นั้น ขณะนี้ได้รับรายงานแล้ว พบการซื้อไม่ชอบด้วยระเบียบการช่วยเหลือประชาชนด้านสาธารณภัย เป็นผลให้เกิดความเสียหายเต็มจำนวนกว่า 16 ล้าน 3 แสนบาท ผู้เกี่ยวข้องเป็นทั้งข้าราชการการเมือง และข้าราชการประจำประมาณ 10 คน
จากนี้จะส่งเรื่องให้คณะกรรมชุดที่ 2 ซึ่งแต่งตั้งขึ้นไว้รอแล้ว โดยกรรมการชุดที่ 2 จะดำเนินการในการสอบวินัย ดำเนินการต่อให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน หรือหากไม่พอก็สามารถต่อได้อีก 30 วัน รวม ทั้งหมด 90 วัน ขณะเดียวกันก็จะมีการแต่งตั้งกรรมการสอบสวนการละเมิด กำหนดค่าความเสียหาย ส่งต่อให้กรมบัญชีกลางทำงานควบคู่กันไปด้วย พิจารณาสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องชดใช้เงินคืนต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน กล่าวเน้นย้ำ กรรมการแต่ละชุดจะทำงานตามห้วงเวลาที่กฎหมายกำหนด ขอให้ประชาชนวางใจและมั่นใจได้ว่า จะดำเนินการอย่างถูกต้องโปร่งใส และให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ส่วนจะสั่งพักการปฏิบัติราชการหรือไม่ ต้องศึกษาอำนาจ อบจ. เพื่อพิจารณาก่อน ขอเน้นย้ำว่าการทำงานในครั้งนี้จะไม่มีการช่วยเหลือใดๆ ขอให้ชาวลำพูนสบายใจได้ จะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาแน่นอน ขณะเดียวกันทางด้าน เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. และ เจ้าหน้าที่ สตง.ก็คงจะเข้าดำเนินการตรวจสอบในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ท้ายที่สุดแล้ว จะต้องมีการดำเนินการทั้งทางด้านวินัย อาญา