ชายแดนไทย-กัมพูชา ไทย ไม่ต้องไป ศาลโลก ตามคำเรียกร้องของ กัมพูชา สมชาย แสวงการ เสนอแนะ 6 ข้อ ในการปกป้อง อธิปไตยไทย
ข่าวประเด็นร้อน กรณี สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดย สมชาย แสวงการ เสนอ ไทย ไม่ต้องไป ศาลโลก ผ่านช่องทางเฟซบุ๊กส่วนตัว โพสต์รูปภาพ พร้อมระบุข้อความว่า “ไทยไม่ต้องสนใจกัมพูชาไปขึ้นศาลโลก แต่ต้องเร่งปกป้องอธิปไตย และแจ้งไม่ยอมรับให้กัมพูชาทราบ พร้อมบันทึกรายงานการประชุม JBC ว่า “ไทยไม่ยินยอมรับเขตอำนาจศาลโลกในกรณีนี้ และกรณีใดๆ” เท่านั้นพอ ทำผิดจากนี้ มีคดีตามมาแน่นอน!

สมชาย เสนอ ไทย ไม่ต้องไป ศาลโลก
จากกรณี ที่กัมพูชาออกแถลงการณ์ว่า “จะฟ้องไทย เพื่อนำคดีพิพาทไปขึ้นศาลโลก” นั้น ขอเสนอแนะไปยังผู้เกี่ยวข้องดังนี้
-1.รัฐบาลไทยต้องถือเป็นเรื่องของกัมพูชาฝ่ายเดียว ไทยไม่จำเป็นต้องเดินตามเกมผู้แทนรัฐบาลไทยมีหน้าที่เพียงแค่แจ้งความเห็นแย้ง ไม่ยอมรับศาลโลกในคดีนี้ และรัฐบาลมีหน้าที่ปกป้องดินแดนไทยทุกตารางนิ้ว ให้เกิดความชัดเจน เพราะ ตามมาตรา 93 ของกฎบัตรสหประชาชาติที่ระบุให้ สมาชิกสหประชาชาติเป็นสมาชิกของธรรมนูญศาลโลกด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกประเทศต้องไปขึ้นศาลโลก ตามที่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอยากฟ้องได้ตามใจด้วยเหตุ ยังต้องได้รับความยินยอมจากคู่ความทั้งสองฝ่ายนำคดีขึ้นสู่ศาลโลก (Consent-based Jurisdiction) *ในกรณีนี้รัฐไทยประกาศไม่ยินยอม ศาลโลกก็ไม่สามารถพิจารณาคดีได้
-2.ส่วนการขึ้นศาลโลกตามที่สนธิสัญญาระหว่างประเทศกำหนดนั้น จะมีข้อกำหนดว่า ถ้ามีความขัดแย้งให้นำความขัดแย้งนั้นขึ้นไปสู่ศาลโลกเพื่อตัดสิน ซึ่งถ้าไทยเป็นรัฐภาคีหรือให้สัตยาบันในสนธิสัญญาใดก็ต้องขึ้นศาลโลกแค่เฉพาะคดีที่เกี่ยวกับสนธิสัญญานั้น*ยกเว้นไทยตั้งข้อสงวนเอาไว้ *หลังกรณีปราสาทพระวิหาร ไทยไม่เคยมีท่าทียอมรับหรือต้องการรับอำนาจของศาลโลกอีกชัดเจนไม่ว่ากรณีใดๆ และถือปฏิบัติต่อเนื่องมาตลอด
-3.มติคณะรัฐมนตรีทุกครั้งหลังคดีเขาพระวิหาร ในการอนุมัติเข้าเป็นรัฐภาคีในสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ไทยจะกำหนดตั้งข้อสงวนในการไม่รับอำนาจของศาลโลกทุกครั้งทุกกรณี อาทิ
-ภาคีของอนุสัญญาระหว่างประเทศเพื่อการปราบปรามการวางระเบิดเพื่อการก่อการร้าย เมื่อ2559 คณะรัฐมนตรีกำหนดให้จัดทำข้อสงวนว่า*ไทยจะไม่ผูกพันตามข้อ 20 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ ซึ่งกำหนดให้รัฐภาคีระงับข้อพิพาทกัน โดยอนุญาโตตุลาการ หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ*
-ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองทางกายภาพของวัสดุนิวเคลียร์และที่แก้ไขเพิ่มเติม เมื่อปี25561 คณะรัฐมนตรีกำหนดให้จัดทำข้อสงวนว่า*ไทยจะไม่รับกระบวนการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการและการเสนอเรื่องสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ*
-ภาคีในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (ICPPED) เมื่อ12 มีนาคม 2567 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทำข้อสงวนว่า*ไทยจะไม่รับกระบวนการระงับข้อพิพาทโดยวิธีอนุญาโตตุลาการและการเสนอเรื่องสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ*
ซึ่งเป็นไปตามแนวทางเดียวกันในการตั้งข้อสงวนในสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศทุกฉบับที่ผ่านมา
ข่าวที่น่าสนใจ
- เขมรโชว์อีก! กองทัพเรือกัมพูชา ซ้อมรบกระสุนจริงตรงข้ามเกาะกูด
- #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ถ้าเกิดสงครามจริง ใครถูกเรียกไปรบ
- กัมพูชาดันไปศาลโลก จ้องเคลม 4 พื้นที่ ลั่น JBC แก้ปัญหาไม่ได้
สมชาย แสวงการ ยังได้มีข้อเสนออีกว่า
-4.คณะรัฐมนตรีได้วางหลักให้ทุกส่วนราชการ และหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถึงกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือสัญญา ซึ่งมีข้อบทให้อำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาทตามหนังสือสัญญานั้น *ให้ทุกหน่วยงานรัฐจัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไว้ทุกเรื่อง เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ*
-5.การประชุม JBC ที่จะมีขึ้นในวันที่14มิยนี้ ผู้แทนรัฐบาลไทยแค่ทำหน้าที่แจ้งในที่ประชุมและบันทึกในรายงานการประชุมว่า “ไทยไม่ยินยอมรับเขตอำนาจศาลในกรณีนี้และกรณีไหน” ทำได้เพียงเท่านี้
-6.รัฐบาลไทยและผู้แทนต้องไม่กระทำการใดๆที่ยอมรับกรณีที่กัมพูชาฟ้องศาลโลกนี้เด็ดขาด โดยขอให้ทุกท่านอ่านทำความเข้าใจในรัฐธรรมนูญ และ ประมวลกฎหมายอาญาหมวด 3 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร มาตรา 119-129 โดยควรยึดถือปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด เพราะอาจมีผู้ฟ้องคดีตามมา
รัฐบาลไทยจึงไม่ต้องสนใจแถลงการณ์ดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชาที่จะนำเรื่องเขตแดนไปฟ้องศาลโลกใดๆอีก และคณะผู้แทนจะต้องแถลงชัดเจนว่า *ไทยไม่ยอมรับกัมพูชาในการจะนำคดีไปขึ้นศาลโลก*
