จากกรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า ได้ออกมาโพสต์คลิปและภาพเหตุการณ์ ขอความเป็นธรรมให้กับพ่อวัย 60 ปี ที่ถูหชายวัยรุ่นรายหนึ่ง ทำร้ายร่างกาย โดยการใช้ไม้เหล็กขนาดใหญ่ กระหน่ำฟาดหลายครั้ง จนหัวแตก และขาเจ็บ ก่อนขึ้นรถแล้วขับหนีไป ระบุสาเหตุว่าพ่อของตนขับขี่รถจักรยานยนต์ช้า ทำให้คู่กรณีไม่พอใจ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 66 ที่ผ่านมา ที่บริเวณถนนประชาอุทิศระหว่างซอย 14 ถึงซอย 16 แขวงและเขตราษฎรบูรณะ กรุงเทพฯ
ล่าสุด หลังจากที่คลิปดังกล่าว กลายเป็นไวรัล ผู้ก่อเหตุรายนี้ก็ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา “ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ” แล้ว ทราบชื่อต่อมา คือ นายสิร อายุ 41 ปี ทำธุรกิจส่วนตัวประเภทขนส่งสินค้า
ภายหลังจากเข้าพบตำรวจกว่า 2 ชั่วโมง เจ้าตัวได้เดินชูมือที่ถูกพิมพ์มือเพื่อรับทราบข้อหา ลงมาจากชั้นสองของโรงพัก พร้อมระบุว่า ส่วนตัวได้มีการขอโทษผู้เสียหายไปแล้วตั้งแต่วันเกิดเหตุ ส่วนสาเหตุที่ก่อเหตุเพราะความอดทนของตนมีขีดจำกัด ขณะที่เรื่องของอาวุธไม่ได้มีการเตรียมการไป แต่หาหยิบจากจุดเกิดเหตุ
นายสิร กล่าวว่ากรณีผู้เสียหายอ้างว่ามีการท้าทายกันนั้น ตนยืนยันว่าไม่ได้มีการท้าทาย แต่อยากให้ไปถามทางผู้เสียหายเองว่าวันเกิดเหตุ พูดอะไรไว้ ส่วนเรื่องที่ระบุว่าตนเป็น ‘ขาใหญ่’ ในพื้นที่ ตนไม่เคยพูดหรืออ้างตัว มีแต่ฝ่ายผู้เสียหายที่อ้างว่ารู้จักนายพัน อย่างไรก็ตาม ต่อจากนี้ตนยืนยันว่าจะไม่หัวร้อนและก่อเหตุแบบนี้อีก
มีรายงานว่าวันนี้พนักงานสอบสวนมีการตรวจปัสสาวะผู้ต้องหา เบื้องต้นไม่พบว่ามีสารเสพติด จึงมีการสอบปากคำและแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งต่อจากนี้ต้องรอผลแพทย์จากทางผู้เสียหายอีกครั้งหากแพทย์มีความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบาดเจ็บรุนแรง สามารถแจ้งข้อหาได้ก็จะทำการแจ้งข้อหาเพิ่มเติม แต่หากไม่ได้ ก็จะนำผลแพทย์เข้าสำนวนคดีและนัดวันส่งตัวผู้ต้องหาต่อศาลต่อไป
ก่อนหน้านีั ร.ต.วิเชียร รำพึงวรณ์ ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นทหารนอกราชการ อายุ 64 ปี ระบุว่า ในวันเกิดเหตุได้ออกจากบ้านพักในซอยประชาอุทิศ 14 เพื่อจะเดินทางไปบ้านลูกสาวเพื่อซื้ออาหารให้กับภรรยาที่ป่วยเป็นโรคไตและพักรักษาอยู่ที่บ้านดังกล่าว ที่อยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ซอย แต่เมื่อออกจากซอยเพื่อจะเลี้ยวขวา รถคู่กรณีขับขี่มาที่เล่นขวาด้วยความเร็วก่อนที่จะชะลอ ตนจึงเลี้ยวข้ามและพยายามชิดซ้าย แต่ด้วยความกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ จึงขับขี่ช้า
ร.ต.วิเชียร กล่าวว่า คู่กรณีไม่พอใจและมีการเปิดกระจกด่าทอ ทั้งพยายามขับไล่ตนจนมาถึงจุดเกิดเหตุ จึงชะลอรถ คู่กรณีก็มีการปาด และลงมาเริ่มด่าทออีกครั้ง ก่อนที่คู่กรณีจะหยิบอาวุธ เป็นแป๊บเหล็กออกมาจากท้ายรถ ซึ่งตนได้พยายามบอกกับทางคู่กรณีตลอดว่า ไม่อยากมีเรื่อง แต่คู่กรณีไม่รับฟัง และเริ่มมีการใช้แป๊บเหล็ก ตีที่บริเวณขาด้านซ้ายของตนก่อนหนึ่งครั้ง และเริ่มตีตามร่างกาย ซึ่งตนได้พยายามปัดป้อง ก่อนที่จะเสียหลักล้มลง ทำให้คู่กรณีใช้แป๊บเหล็กตีที่บริเวณกลางศรีษะทำให้เกิดบาดแผลแตก
ยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวตนกลัวมาก และไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัดว่าเหตุใดคู่กรณีจึงก่อเหตุด้วยความรุนแรงแบบนี้ เพราะสาเหตุที่ตนขับช้า ไม่ใช่ต้องการที่จะกลั่นแกล้งรถบนถนน แต่เป็นเพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ ประกอบกับในพื้นที่มีการจราจรคับคั่งทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังจึงอาจทำให้ดูเหมือนขับช้า
ร.ต.วิเชียร กล่าวอีกว่า หลังเกิดเหตุตนได้เดินทางมาที่บ้านพักของลูกสาวและไปรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งแพทย์ได้มีการเย็บบาดแผลให้ห้าเข็ม และให้ติดตามอาการอีกครั้ง ตนจึงเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สน.ราษฎร์บูรณะ ไว้เป็นหลักฐาน แต่ในขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากทางเจ้าของคดีว่าคดีดำเนินการไปถึงขั้นตอนใด จึงอยากฝากไปถึงทางคู่กรณีว่าอยากให้ใจเย็นกว่านี้ และไม่อยากให้ก่อเหตุแบบนี้กับคนอื่นอีก ในส่วนของตำรวจก็อยากให้ดำเนินการทางคดีกับทางผู้ก่อเหตุเพื่อให้ได้สำนึกผิดกับสิ่งที่ได้ทำไป
ร.ต.วิเชียร ยังระบุอีกว่า ขณะเกิดเหตุได้พยายามบอกกับทางคู่กรณีไปแล้วว่า ไม่อยากมีเรื่อง หากจะต้องมีการชกต่อยก็ขอชกต่อยเพียงแค่บนเวทีเท่านั้น เพราะขณะที่เคยเป็น ข้าราชการทหารก็เคยเป็นนักมวยขึ้นเวที
ด้าน น.ส.เอ (นามสมมุติ) ผู้เห็นเหตุการณ์ที่เป็นคนเข้าไปห้าม เปิดเผยว่า ตนผ่านทางมาเห็นว่ามีการทำร้ายร่างกายคนสูงอายุ จึงหยุดเพื่อจะเข้าไปห้ามปราม ก่อนที่จะเห็นว่าคู่กรณีอยู่ในอาการโมโหอย่างรุนแรง และมีท่าทีเกรี้ยวกราดพร้อมกับมีอาวุธอยู่ในมือ ซึ่งตนทำได้เพียงแค่ตะโกนห้ามบอกว่าลุงได้รับบาดเจ็บแล้วขอให้หยุดทำ ซึ่งในตอนแรกผู้ก่อเหตุไม่ยอมหยุด และยังคงอยู่ในอาการเกรี้ยวกราด ก่อนที่จะเริ่มมีรถจอดดูและมีคนมาดูเยอะขึ้น ทำให้คู่กรณีเริ่มเย็นลง และกลับขึ้นรถออกไปจากจุดเกิดเหตุ
ทั้งนึ้ ก่อนกลับขึ้นรถ คู่กรณีได้ไล่ลุงที่บาดเจ็บให้ไปให้พ้นอีกด้วย ซึ่งตนทราบจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ว่าผู้ก่อเหตุเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ รู้จักคนมาก แต่ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร จึงอยากขอฝากให้สื่อมวลชนช่วยเหลือลุงที่ได้รับบาดเจ็บให้ได้รับความเป็นธรรมด้วย ส่วนท่าทีของผู้ก่อเหตุยืนยันได้ว่าไม่ได้อยู่ในอาการมึนเมาเพราะตนมั่นใจว่าคู่กรณีมีสติเป็นอย่างดี แต่ มีอาการตาขวางเกรี้ยวกราดผิดปกติเกินกว่าเหตุ ซึ่ง เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่าคล้ายลักษณะของผู้เสพยาเสพติดหรือไม่ น.ส.เอ ตอบเพียงว่า ไม่สามารถยืนยันได้
ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่น ๆ
Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY