ถนนไทย เท้าความไปเมื่อปี 2015 หลังจากที่องค์กรอนามัยโลก หรือ World Health Oraganization (WHO) ระบุว่าไทยเป็นประเทศที่มีการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่มีเหตุเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก
จากเรื่องดังกล่าวทำให้สหประชาชาติมีพันธกิจในประเทศไทยต้องลดจำนวนผู้เสียชีวิตให้ได้ครึ่งหนึ่ง ในปี 2020 เนื่องจากไทยนั้นมีจำนวนผู้เสียชีวิตบนท้องถนนกว่า 20,000 รายต่อปีซึ่งถือว่าเป็นอันดับ 1 จาก 10 ประเทศที่ถูกจัดอันดับขึ้นมา
แม้ว่าประเด็นหลักของไทยเราคือรัฐบาลไม่สามารถลดช่องว่างในเรื่องระยะห่างระหว่างคนจนกับคนรวนรวย เนื่องจากคนจนนิยมที่จะขับจักรยานยนต์ นอกจากนี้ยังรวมถึงปัญหาเรื่องที่ประชาชนแตกอุดมการณ์เกี่ยวกับเรื่องการเมืองทั้ง 2 ฝั่งอย่างชัดเจน
จากการสำรวจของ Credit Suisse ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความไม่เท่าเทียมกันมากที่สุดเมื่อเทียบกับอีก 40 ประเทศ และพร้อมกับเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยมลภาวะทางอากาศมากที่สุด โดยเฉพาะในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน
ถ้าตัดคนรวยหรือชนชั้นกลางที่สามารถมีรถยนต์ส่วนตัวออกไป ที่เหลือก็คือคนจนที่มีกำลังเงินในการซื้อเพียงจักรยานยนต์เท่านั้น ซึ่งสิ่งที่ป้องกันพวกเขามีเพียงอย่างเดียวคือ “หมวกกันน็อค” ซึ่งบางคนก็สวมบ้างไม่สวมบ้าง จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
การขนส่งสาธารณะมีจำกัดบวกกับรถติดแล้ว การเห็นภาพผู้ใหญ่ที่มีเด็กเกาะเอวซ้อนข้างหลังมาจึงเป็นภาพคุ้นชินในทุกๆ เช้า แต่หากเทียบกับพาหนะอื่นอย่างรถยนต์หรือรถขนาดเล็กอื่นๆ จะเกิดอุบัติเหตุเพียงร้อยละ 12 เท่านั้นตามที่ Who ได้ระบุไว้
เพราะที่เหลืออีกกว่าร้อยละ 88 เป็นเหตุที่เกิดขึ้นจากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์หรือคนเดินเท้า เนื่องจากในไทยนั้นมีทางเท้าที่กว้างทำให้เกิดวัฒนธรรมที่ไม่ดีอย่างการขับมอเตอร์ไซค์บนฟุตบาทหรือการสวนเลนเป็นเรื่องปกติไปซะอย่างนั้นและตำรวจเองก็ไม่ได้เข้มงวดกับเรื่องนี้ด้วย
ส่วนความไม่เท่าเทยมทางเศรษฐกิจทำให้คนรวยในไทยมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่นอยู่เยอะมาก หากติดตามข่าวมาตลอดจะทราบกับดีว่าหากเป็นลูกคนมีเงินแล้วก่ออุบัติเหตุมักจะรอดเพราะความมีอิทธิพลและทรัพย์สินที่ตระกูลของเขาครอบครองอยู่
คุณ Evelyn Murphy ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการป้องกันการบาดเจ็บโดยไม่เจตนากล่าวว่า “สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือถนนประเทศไทยไม่ปลอดภัยสำหรับทุกคน และไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ จักรยานยนต์หรือคนเดินเท้า ทุกคนควรจะได้รับสิทธิเท่าเทียมโดยไม่คำนึงถึงระดับความมั่งมี”
เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยพูดถึงเรื่องสาเหตุหลักเกี่ยวกับอุบัติเหตุของการใช้รถจักรยานยนต์ เกิดขึ้นจากการขับเร็ว เมา และไม่สวมหมวกกันน็อค โดยโทษปรับของทั้ง 3 อย่างนั้นหากผิดจะเสียค่าปรับเล็กน้อย หากเทียบกับประเทศญี่ปุ่นที่ปรับหนักมากหากคุณดื่มแล้วขับ
แม้ว่าจะมีแคมเปญลด ละ เลิกเรื่องการเมาแล้วขับพร้อมกับป้ายโฆษณาที่มีมากมายแต่มันก็เป็นการรณรงค์แค่ช่วงปีใหม่กับเดือนเมษายนต์ที่มีเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น ทั้งๆ ที่ควรจะมีการรณรงค์กันให้มากกว่านี้ เพราะคนไทยก็ขับรถจักรยานยนต์เยอะทั้งปีเหมือนเดิม
ทาง Independent แนะแนวถึงการเปลี่ยนแปลง 3 ข้อดังนี้
- ลบวัฒนธรรม “สบายๆ”
เพลงนี้เป็นเพลงเก่าของพี่เบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย หมายถึงจิตใจที่ผ่อนคลาย เป็นประเทศที่เหมาะการใช้เวลาวันหยุดแถวชายหาด แต่มันไม่ใช่ทัศนคติในการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยระดับชาติ เพราะตำรวจไทยควรจะต้องเข้มงวดกับสิ่งเหล่านี้ โดยตัดความสงสารและเสียงค่อนขอดของประชาชนที่เคยทำอะไรแบบเดิมๆ ออกไป ให้ปรับหนักๆ รวมถึงการเน้นเรื่องการสวมหมวกนิรภัย
- รัฐบาลต้องไม่เพิกเฉย
แม้ว่า WHO จะมอบพันธกิจลดเรื่องการเสียชีวิตบนท้องถนนให้ได้ครึ่งหนึ่งในปี 2020 แต่ที่ผ่านมารัฐบาลก็ยังไม่จริงจังกับเรื่องนี้และทั้งๆ ที่ให้คำมั่นสัญญาแล้วตัวเลขก็แทบไม่ขยับไปในทางที่ดีขึ้นเลย จนครองสถิติประเทศที่มีท้องถนนอันตรายที่สุดเช่นเดิม แต่ทางสำนักงานนโยบายคมนาคมและแผนงานจราจรเองก็ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว เป็นเพราะความเพิกเฉยของรัฐบาลเอง
- เพิ่มรายได้ต่อหัว
เมื่อปี 2018 ประเมินว่าในปี 2038 ไทยจะมีรายได้ต่อหัวร้อยละ 22 น่าจะทำให้ไทยได้ลืมตาอ้าปากขึ้นบ้าง แม้ว่ามันแลอาจดูเรื่องในระยะยาวแต่มันก็เป็นการแก้ไขปัญหาได้ และอีกปัจจัยหนึ่งคือการที่รัฐบาลเร่งสร้างรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมกรุงเทพมหานครมันก็สามารถช่วยได้อีกทางหนึ่งที่คนจะหันมาลดการใช้จักรยานยนต์กันบ้างไม่มากก็น้อยครับ
บทความนี้แปลและเขียนโดยทีมข่าว Bright Today
ขอบคุณข้อมูลจาก :