ทีมข่าวไบรท์ไทยทัน ติดตามประเด็นเรื่องของเชื้อดื้อยาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีการพูดถึงปัญหาการใช้ยาปฏิชีวนะ “โคลิสติน” อย่างไม่ควบคุมในฟาร์มหมู ซึ่งจะทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา ชนิดที่วงการแพทย์ทั่วโลกกลัวว่าจะทำให้มนุษย์ในอนาคตเสียชีวิตจำนวนมาก
จากข้อมูลการสุ่มตรวจ ฟาร์มหมูใน 3 จังหวัด (นครปฐม,ราชบุรี,ชลบุรี) พบว่ามีปัญหาเชื้อดื้อยา “โคลิสติน” และยังพบว่า มีการเกิดยีนส์ดื้อยา MCR-1 อีกด้วย
ส่วนยาที่พบว่ามีการใช้ในฟาร์มหมูจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่1 ยาต้านแบคทีเรีย กลุ่มที่2 วัคซีนต้านพาราไซต์ หรือ ต้านปรสิต กลุ่มที่3 ยาชนิดอื่นๆ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ยาสเตียรอยด์
โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ(หรือต้านแบคทีเรีย) ที่ชื่อว่า “โคลิสติน” ซึ่งพบว่ายาตัวดังกล่าวไม่มีทะเบียนยา แสดงให้เห็นว่ามีการลักลอบใช้ยาเถื่อนและมีปัญหาการควบคุมการกระจายยาโคลิสตินเกิดขึ้น
สำหรับยาโคลิสตินตัวนี้ ในอดีตมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการปศุสัตว์ จนต่อมาปี 2558 ประเทศจีนเปิดเผยผลวิจัยว่า พบการดื้อยาโคลิสตินในฟาร์มหมูของจีน ที่เป็นชนิดข้ามสายพันธุ์ได้ (horizontal gene transfer) มีการวิเคราะห์หาองค์ประกอบของสายพันธุกรรมนี้ ที่เรียกว่า ยีนส์เอ็มซีอาร์ – วัน (MCR-1 gene) ซึ่งถือเป็นการพบครั้งสำคัญของโลก ทำให้รู้ว่ามีการส่งสายพันธุกรรมหรือเชื้อดื้อยาข้ามจากสัตว์มาคนและจากคนไปสัตว์ได้ และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 สื่อมวลชนของสหรัฐอเมริการายงานข่าวการพบ คนไข้ติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาสายพันธุ์ใหม่ “เอ็มซีอาร์–วัน“ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลก ซึ่งเป็นแบคทีเรียสายพันธุ์รุนแรง(หรือซุปเปอร์บั๊ก) ที่แม้แต่ยา “โคลิสติน” ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุดยังใช้ไม่ได้ผล ทำให้วงการแพทย์ทั่วโลกเกิดการตื่นตัว
(ภาพ ขยายยีนส์เชื้อดื้อยาเอ็มซีอาร์-วัน( MCR-1 gene))
ที่มาภาพ http://www.dw.com/en/scientists-discover-new-antibiotic-resistant-gene-mcr-1-in-china/a-18861469
สำหรับอันตรายของสารโคลิสตินกับมนุษย์นั้นมี 2ประการคือ
1. อันตรายจากสารตกค้างในเนื้อหมู
เมื่อนำยาโคลิสติน ผสมในอาหารหรือฉีดเข้าตัวสัตว์แล้ว ต้องมีเวลาพักให้ร่างกายสัตว์กำจัดออกไปอย่างน้อย 2-3 วัน จึงนำมาชำแหละเพื่อบริโภค แต่หากผู้ขายไม่เว้นระยะ สารตกค้างในเนื้อสัตว์จะสะสมเป็นพิษในตัวผู้บริโภค หากสะสมปริมาณมากจะทำให้เกิดอาการไตวายได้
2. ก่อให้เกิดเชื้อดื้อยา
โคลิสติน เป็นยาปฏิชีวนะที่มีความรุนแรง ใช้ในกรณีที่ ใช้ยาปฏิชีวนะตัวอื่นไม่ได้ผล โคลิสตินคือทางเลือกสุดท้าย หากใช้ไม่ถูกวิธี แบคทีเรียจะพัฒนาตัวเองให้ดื้อยาโคลิสติน และจะถ่ายทอดยีนส์ดื้อยาไปให้แบคทีเรียตัวอื่นในร่างกายมนุษย์
ด้าน กรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ได้เฝ้าระวังและสุ่มเก็บตัวอย่างประมาณ 6,000 ตัวอย่างต่อปี และในปี 2559 ผลสรุปเบื้องต้นพบว่ายังไม่พบปัญหาการดื้อยาที่ถ่ายทอดจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
แม้จะยังไม่พบการข้ามสายพันธุ์มาสู่คน แต่ล่าสุด ทางกรมปศุสัตว์ก็ได้ยกระดับ ยาโคลิสตินที่ใช้ในสัตว์ให้เป็นยาควบคุมพิเศษที่ต้องสั่งใช้โดยสัตวแพทย์เท่านั้น (จากที่ปัจจุบันเป็นยาอันตรายที่สามารถหาซื้อมาใช้ได้เองจากร้านทั่วไป) และยังได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การจัดการเชื้อดื้อยา โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (พ.ศ. 2560 -2564)
ขณะที่ คณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. เตรียมยกระดับยา “โคลิสติน” ในสัตว์ ต้องขายในร้านขายยาภายใต้ใบสั่งสัตวแพทย์เท่านั้น ฝ่าฝืนยึดใบอนุญาต และปิดร้าน 120 วัน เริ่ม เดือนมีนาคม 2560 นี้