ราคาน้ำมันดิบร่วงต่อเป็นที่ 3 หลังสต๊อกน้ำมันสหรัฐพุ่งต่อเนื่องเป็น 6 สัปดาห์ ขณะที่รัสเซียผลิตน้ำมันพุ่งสูงสุดนับแต่การล่มสลายของสภาพโซเวียต
เมื่อคืนวานนี้ (31 ต.ค.) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์ก ปิดลดลงเป็นวันที่ 3 หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.2 ล้านบาร์เรล เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน และเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 6 ขณะที่สัญญาน้ำมันยังคงได้รับแรงกดดันจากค่าเงินสกุลเหรียญสหรัฐที่แข็งค่าขึ้นอีก 0.12% เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลักของโลก
ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ปิดที่ 65.31 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 0.87 เหรียญสหรัฐ หรือลดลง 1.3% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค. ปิดที่ 75.47 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 0.44 เหรียญสหรัฐ หรือลดลง 0.6%
ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบ ปิดที่ 75.53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลง 0.51 เหรียญสหรัฐ หรือลดลง 0.67%
ด้านบมจ.ไทยออยล์ รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันประจำวันที่ 1 พ.ย. ว่า ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงกว่า 1.3% และน้ำมันดิบเบรนท์ลดลง 0.6% เนื่องจากความกังวลต่ออุปทานน้ำมันดิบโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ตลาดเริ่มมองเห็นแรงหนุนจากอุปสงค์ของสหรัฐ ที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามทิศทางของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
ขณะที่สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) รายงานข้อมูลปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐ ประจำเดือนส.ค.2561 ว่าอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 11.346 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นจากเดิมก่อน 4.16 แสนบาร์เรล
ส่วนน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐ ปรับเพิ่มขึ้น 3.2 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาร์เรล เป็นผลจากกำลังการกลั่นของสหรัฐที่ปรับเพิ่มขึ้น 1.49 แสนบาร์เรล/วัน
แหล่งข่าวของรอยเตอร์เปิดเผยว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของรัสเซียในเดือนต.ค. 2561 แตะระดับ 11.41 ล้านบาร์เรล/วัน นับเป็นระดับสูงสุดตั้งแต่การล่มสลายของสภาพโซเวียตในปี 2534
ไทยออยล์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่า ราคาน้ำมันดิบ WTI จะเคลื่อนไหวในกรอบ 64-69 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวในกรอบ 74-79 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล