แพทย์ศิริราชแถลงผลตรวจชิ้นเนื้อ “น้ำตาล เดอะสตาร์” พบเชื้อ วัณโรคหลังโพรงจมูก มีโอกาสติดเชื้อได้น้อยมาก อัตราการป่วยวัณโรคหลังโพรงจมูก 1 ใน 3 ไม่แสดงอาการ
ความคืบกรณีการเสียชีวิตของ น้ำตาล เดอะสตาร์ หรือน.ส.บุตรศรัณย์ ทองชิว เมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้ขออนุญาตส่องกล้องเข้าไปทางจมูก เพื่อตัดชิ้นเนื้อบริเวณหลังโพรงจมูก นำมาตรวจวินิจฉัยทางพยาธิวิทยาเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต
แม้ว่าก่อนหน้านี้ทางคณบดีแพยศาสตร์ศิริราช แจ้งผลตรวจชิ้นเนื้อโพรงจมูก “น้ำตาลเดอะสตาร์” ซึ่งระบุว่ายังไม่สมบูรณ์ โดยคาดว่าจุดที่มีเลือดออกในร่างกายนั้น อาจจะเป็นส่วนของด้านหลังโพรงจมูก ทำให้เลือดไหลเข้าไปในปอดและหลอดลม ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะมีสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้น เพราะแตกต่างจากจุดที่มีเลือดกำเดาออกที่จะเกิดเฉพาะในส่วนด้านหน้าของโพรงจมูกเท่านั้น อย่างไรก็ตามต้องรอผลการตรวจชื้นเนื้อจึงจะสามารถบอกได้ชัดเจนมากขึ้น และต้องรอการยืนยันจากห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ อีก 1 แห่ง จึงจะมีการแถลงข่าวให้ทราบในโอกาสต่อไปนั้น
ล่าสุด 26 มิ.ย. 62 ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมด้วย รศ.นพ.ปรัญญา สากิยลักษณ์ แพทย์ประจำสาขาวิชาศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก ภาควิชาศัลยศาสตร์ รายงานผลการตรวจวินิจฉัยชิ้นเนื้อหลังโพรงจมูกของ น้ำตาล บุตรศรัณย์ ซึ่งตรวจวินิจฉัยว่าน้ำตาลเป็น “วัณโรคหลังโพรงจมูก” เผยมีโอกาสพบได้น้อยกว่าร้อยละ 1 ของวัณโรคที่พบในปอด
หลังจากเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2562 นั้นคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ขออนุญาตส่องกล้องเข้าไปดูบริเวณหลังโพรงจมูก และพบบริเวณเยื่อบุหลังโพรงจมูกมีสีผิดปกติไปจากปกติ ขนาดประมาณ 0.5-1 ซ.ม. จึงตัดชิ้นเนื้อบริเวณดังกล่าว เพื่อนำมาตรวจวินิจฉัยทางพยาธิวิทยาหาสาเหตุการเสียชีวิต ระหว่างตัดชิ้นเนื้อพบมีเลือดไหลออกมา หลังจากย้อมชิ้นเนื้อพบว่าเข้าได้กับวัณโรคแต่ไม่พบเชื้อ
คณะแพทย์จึงได้ทำการตรวจอีกวิธีหนึ่งที่เรียกว่า PCR (Polymerase Chain Reaction) คือตรวจหา DNA ของเชื้อวัณโรคได้ผลเป็นบวก (positive) ผลการตรวจ PCR ดังกล่าว และผลการตรวจชิ้นเนื้อจึงบ่งชี้ว่ามีเชื้อวัณโรคหลังโพรงจมูก ซึ่งในกรณีนี้มีโอกาสติดต่อกันได้น้อย
จากสถิติของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2560 พบคนไทยเป็นวัณโรคประมาณ 80,000 คน จากประชากร 69 ล้านคนโดยร้อยละ 83 จะตรวจพบที่ปอด ร้อยละ 17 ตรวจพบนอกปอด สำหรับวัณโรคหลังโพรงจมูกพบได้น้อยกว่าร้อยละ 1 ของวัณโรคที่พบนอกปอด
อีกทั้งวัณโรคสามารถเป็นได้ตามอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกาย สำหรับวัณโรคหลังโพรงจมูก รายงานทางการแพทย์ทั่วโลกพบว่าผู้ป่วย 1 ใน 3 อาจไม่มีอาการใด ๆ และประมาณร้อยละ 70 มีต่อมน้ำเหลืองที่คอโต หรือมีก้อนบริเวณหลังโพรงจมูก การวินิจฉัยวัณโรคหลังโพรงจมูก จึงมักได้จากการตรวจชิ้นเนื้อที่ก้อน หรือต่อมน้ำเหลือง
สำหรับข้อแนะนำประชาชนจากกรณีของ น้ำตาล-บุตรศรัณย์ ทองชิว มีรายละเอียดดังนี้
1. อุบัติการณ์ของวัณโรคในประเทศไทยยังไม่ลดลงสามารถเกิดได้กับทุกคนทุกเพศทุกวัยและสามารถเกิดขึ้นได้ในหลากหลายอวัยวะ
2. ควรตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปีหากพบสิ่งผิดปกติใด ๆ จำต้องสืบค้นจนพบสาเหตุของความผิดปกตินั้น
3. แม้การตรวจร่างกายจะปกติแต่หากมีอาการผิดปกติระยะเวลาหนึ่งเช่นน้ำหนักลดไม่ทราบสาเหตุเบื่ออาหารมีไข้ต่ำ ๆ คลำได้ก้อนผิดปกติควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ