ตื่นมาก็ร้องหาสมาร์ทโฟน เป็นอาการที่พบได้จากเด็กๆ หลายครอบครัว เพราะทุกวันนี้พ่อแม่บางคนเลือกจะเลี้ยงลูกด้วยสมาร์ทโฟนหรือแทบเล็ต ปล่อยให้ลูกอยู่กับหน้าจอตามลำพัง โดยไม่รู้ว่าการปล่อยให้เด็กๆ โตกับสมาร์ทโฟนส่งผลเสียมากมายแค่ไหน
จากการเปิดเผยของ กรมสุขภาพจิต พบว่า ในประเทศไทยพบเด็กเล็กเป็น “โรคไฮเปอร์เทียม” กันมากขึ้น ซึ่งอาการของโรคจะคล้ายกับโรคไฮเปอร์ สาเหตุเกิดจากพ่อแม่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เลี้ยงลูกแบบตามใจ ปล่อยให้เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบเล่นหรือดูเกมในแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน ซึ่งจิตแพทย์พบว่าความเร็วของภาพในเกมหรือการเคลื่อนไหวในหน้าจอที่เปลี่ยนเร็วทุก 3 วินาทีจะส่งผลให้สมองไม่ลงตัว คุมสมาธิไม่ได้ ทำให้ทักษะ “อ่าน เขียน พูด” ของเด็กแย่ลง และเด็กมีอารมณ์ร้อน รอคอยไม่เป็น มีปัญหาการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรให้เด็กเล็กเล่นเกมจากแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน และหากให้หยุดเล่นได้เร็วเท่าไรจะเป็นผลดีต่อเด็กมากเท่านั้น โดยเปลี่ยนให้เด็กได้เล่นกับเด็กวัยเดียวกัน เพื่อให้มีทักษะและพัฒนาการทุกด้าน รวมถึงจัดพื้นที่สงบในบ้านให้เด็กได้ทำการบ้าน แบ่งงานให้เด็กทำทีละน้อย บอกเรื่องที่เด็กต้องปฏิบัติล่วงหน้า หากเด็กทำผิดควรใช้ท่าทีจริงจัง แต่ไม่เกรี้ยวกราด และลงโทษเด็กตามข้อตกลง นอกจากนี้ผู้ปกครองต้องฝึกลูกให้มีวินัย อดทน รอคอยเป็น จัดระเบียบให้ทำกิจกรรมต่างๆ โดยพ่อแม่ทำเป็นตัวอย่าง ซึ่งอาการอยู่ไม่นิ่งของเด็กจะค่อยๆ ลดลงเมื่อโตขึ้น
ส่วนคุณครูสามารถช่วยดูแลเด็กๆ ได้เช่นกัน เพราะผู้ปกครองกับทางโรงเรียนต้องร่วมมือกันในการดูแลเด็กที่เป็นโรคไฮเปอร์ ด้วยการจัดให้เด็กนั่งเรียนหน้าชั้นหรือใกล้ครู เพื่อให้เด็กมีความตั้งใจ มีสมาธิ ไม่ควรให้นั่งเรียนหลังห้องหรือนั่งใกล้ประตู หน้าต่าง เนื่องจากเด็กจะมีโอกาสเสียสมาธิง่าย และต้องชื่นชมทันทีเมื่อเด็กตั้งใจเรียนหรือตั้งใจทำงาน
เลี้ยงลูกด้วยมืถืออาจจะไม่เหนื่อย แต่ผลเสียต่อเจ้าตัวเล็กมากทีเดียว ทางที่ดีควรควบคุมให้เด็กอยู่กับหน้าจอพอประมาณน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ที่มา : กรมสุขภาพจิต