รวบหนุ่มวาง ระเบิดปลอม ซอยลาดพร้าว 62 พบป่วยจิตเวชและโรคซึมเศร้า อีกทั้งยังไม่มีงานทำ ด้านตำรวจใจดี จ่ายค่าปรับให้ 500 บาท
5 มี.ค. 63 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษกตำรวจ เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีพบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิด(นาฬิกาปลุกระเบิดเวลา) บริเวณบริเวณอาคารพาณิชย์4ชั้น ปากซอยลาดพร้าว62 ว่า ได้รับรายงานเพิ่มเติมจาก สน.วังทองหลาง ว่า จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ EOD พบว่าเป็นนาฬิกาปลุกทำเป็นแบบคล้ายระเบิดเวลา(ไม่ใช่วัตถุระเบิด) โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนสอบสวนขยายผลจนทราบว่า มีชาย อายุประมาณ 35 ปี ซึ่งได้เช่าห้องอยู่บริเวณดาดฟ้าข้างเคียงกับจุดเหตุ(สามารถข้ามมายังจุดเกิดเหตุได้) รับว่าตนได้ซื้อนาฬิกาปลุกฯดังกล่าวมาจากตลาดนัด ในส่วนของแผนที่ในจุดเกิดเหตุนั้นตนมีไว้สำหรับใช้ดูเส้นทางในการขับขี่รถจยย. เพื่อบริการส่งของบริษัทเอกชน
พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง โดยเบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหา กระทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือความตกใจฯ ตาม ป.อาญา มาตรา 392 มีโทษ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

รอง โฆษก ตร. กล่าวต่อว่า ขอขอบคุณประชาชน และสื่อมวลชนที่ช่วยเป็นหูเป็นตา แจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ทราบ สามารถเข้าตรวจสอบได้ทันท่วงที ทำให้สังคมไม่เกิดความสับสน ตื่นตระหนก อีกทั้งฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนและสื่อมวลชน ขอให้รับฟังข้อมูลข่าวสารจากทางราชการเพื่อป้องกันความสับสนและสร้างความตื่นตระหนกต่อสังคม
ทางด้านผู้ก่อเหตุ เผยว่า ด้วยความผูกพันกับห้องที่เคยอยู่เก่าและเห็นว่ากลายเป็นอาคารร้างแล้วจึงปีนข้ามไปมาระหว่าง 2 อาคารและนำข้าวของเดิมมาวางไว้ อาทิ นาฬิกาดังกล่าวซึ่งเสียแล้ว ปืนจุกน้ำปลายิงตุ๊กตางานวัด มาวางไว้เหมือนเดิม ส่วนแผนที่กรุงเทพฯ ที่มีการติดสัญลักษณ์ไว้ ซื้อมาเมื่อ 4 ปีก่อน สมัยที่ยังตอนที่ยังขับรถจยย. ส่งอาหารตามที่คนสั่งซื้อในแอปโทรศัพท์ จึงทำสัญลักษณ์การแบ่งเขตพื้นที่รับงานไว้จดจำ แต่ปัจจุบันไม่ได้ทำงานประจำแล้ว แต่มีรับงานขี่รถจยย. ส่งของบ้างบางครั้ง เนื่องจากตนเป็นผู้ป่วยจิตเวช ของรพ.แห่งหนึ่ง ต้องทานยารักษาโรคซึมเศร้า กว่า 2 ปีแล้ว พร้อมขอโทษที่ทำให้คนเข้าใจผิดตกใจกลัว
ทั้งนี้ ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.วังทองหลาง ได้จ่ายค่าปรับให้ผู้ก่อเหตุ 500 บาท เนื่องจากผู้ก่อเหตุไม่มีรายได้หลักและเป็นผู้ป่วยจิตเวช พร้อมพาตัวกลับบ้านพักต่อไป


อ่านข่าว Bright Today