พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2563 พรรคอนาคตใหม่ โดยมีนาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ , นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร , นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ นายวรภพ วิริยะโรจน์ ร่วมกันแถลงข่าวเปิดร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า ตามรายงานจากเพจพรรคอนาคตใหม่ – Future Forward Party
โดยคาดจะส่งร่างกฎหมายเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรได้ก่อนการปิดสมัยประชุมสภาในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ หวังปลดล็อกผูกขาดสุราจากไม่กี่ตระกูล ให้เกษตรกร/ผู้ประกอบการรายย่อยลืมตาอ้าปาก และ ปลดปล่อยศักยภาพผลผลิตพื้นบ้าน
“เท่าพิภพ” ในฐานะอดีตผู้ประกอบการคราฟต์เบียร์ เริ่มต้นลงมือผลิตเบียร์ยี่ห้อของตนเอง โดยหวังสร้างให้เป็นธุรกิจเล็กๆ แต่ในที่สุดความฝันต้องยุติเมื่อเจ้าหน้าที่สรรพสามิตบุกเข้าจับ ถึงได้รู้ว่าความฝันแค่ว่าจะมีธุรกิจเล็กๆ นั้นเป็นไปไม่ได้เพราะขัดต่อกฎหมายที่กำหนดว่า ผู้ผลิตเบียร์ต้องมีกำลังผลิตถึง 10 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคนธรรมดาที่ไม่ใช่ทุนใหญ่
เท่าพิภพเล่าต่อว่า จากการได้ลงพื้นที่ได้พบกับคนเป็นผู้ผลิตสุราชุมชน สุราพื้นบ้านในประเทศไทย ผู้ผลิตเบียร์คราฟต์ที่ต้องระหกระเหินไปทำที่เมืองนอก พบว่าคนจำนวนมากมีปัญหาใกล้เคียงกัน และเห็นด้วยในเรื่องความไม่เท่าเทียมของกฎหมายที่มีอยู่
แน่นอนว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยมักจะยกข้อกังวลถึงเรื่องศาสนา สุขภาพ และอุบัติเหตุ ซึ่งตนเห็นด้วยว่าต้องระมัดระวัง แต่ตนมองว่านี่เป็นคนละเรื่องกันกับการปลดล็อกให้ผู้ประกอบการรายย่อยมาทำธุรกิจได้ แน่นอนว่าต้องมีการส่งเสริมให้ดื่มอย่างปลอดภัย รู้เท่าทันด้านสุขภาพ และเมาไม่ขับ ประกอบกับการใช้กฎหมายที่ดีและเป็นธรรม เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป
“พิธา” ชี้ปลดล็อกสุราจะเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ถึง 1.5 – 2 หมื่นล้านบาทต่อปี กระจายมูลค่าสู่เกษตรกร-ธุรกิจรายย่อย เพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าทางการเกษตร และเศรษฐกิจแข็งแรงขึ้น โดยยกตัวอย่างว่าตนได้เดินทางไปโอกินาวาและพบกับเหล้าอาวาโมริ ข้าวที่ใช้คือข้าวยาวที่ประเทศไทยมีอยู่จำนวนมาก โดย 40 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยส่งออกข้าวอินดิก้าไปญี่ปุ่นทั้งหมด 2 แสนตัน ตกกิโลกรัมละ 10-20 บาท แล้วญี่ปุ่นก็ส่งออกเหล้าอาวาโมริกลับมาขายให้กับพวกเรา คิดเป็นลิตรแล้วตกลิตรละ 2,500 บาท คิดเป็นมูลค่าเพิ่มถึง 170 เท่า นี่คือผลผลิตที่มาจากวัตถุดิบไทยที่คนไทยมองข้าม แต่ต่างชาติเห็นมูลค่าของมัน นี่คือสิ่งทีเ่ป็นศักยภาพของอุตสาหกรรมไทยที่กำลังรอการปลดปล่อย
พิธากล่าวต่อว่า เรื่องนี้คือภูมิปัญญาท้องถิ่น มันคือเรื่องประวัติศาสตร์ มันคือคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ และแน่นอนมันคือเรื่องเศรษฐกิจ ที่จะแก้ปัญหาราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่ำในประเทศไทยได้ และนี่คือเรื่องของเครื่องหมายทางการค้าและภาษีที่ประเทศจะได้รับ มูลค่าตลาดคราฟต์เบียร์มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 122-180 ล้านบาท หรือประมาณ 0.01% ของมูลค่าตลาดเบียร์ทั้งหมดในประเทศ ส่วนสุราชุมชน มุลค่าตลาดอยู่ที่ 2,800-3,200 ล้านบาท เก็บรายได้จากภาษีสรรพสามิตจากสุราชุมชนได้ประมาณปีละ 1 พันล้านบาท ส่วนสุราชุมชน ทุกวันนี้สุราชุมชนกว่า 50 เปอร์เซ็นต์อยู่นอกระบบ ถ้าเราปลดล็อกแล้วเอาทุกคนมาอยู่ในระบบได้ มูลค่า 3 พันจะกลายเป็น 6 พันทันที และถ้าธุรกิจเติบโตเท่าที่เหล้าสะเอียบเคยทำได้ หรือโตแค่สองเท่า ส่วนแบ่งตลาดจะเป็นแค่ 7% แต่มูลค่าจะกลายเป็น 12,000 ทันที
“วรภพ” เปิดสามเนื้อหาหลักร่างกฎหมายสุราก้าวหน้า ประกอบไปด้วย 1.การแก้ไขมาตรา 153 ของ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต ห้ามกำหนดเงื่อนไขที่เป็นการกีดกันไม่ให้ผู้ประกอบการรายเล็กเข้ามาผลิตสุรา ห้ามจำกัดกำลังการผลิต กำลังการผลิตของเครื่องจักร และจำนวนคนงาน
2.การทำโครงสร้างภาษีขั้นบันไดตามขนาดกำลังการผลิต เพื่อให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กสามารถทำธุรกิจแข่งขันภายใต้โครงสร้างต้นทุนที่แข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่และต่างประเทศได้
3.ปลดล็อกการปรุงแต่งสุรา จากการแต่งกลิ่นแต่งสี และหมักสมุนไพรต่างๆ ได้ นี่คือโอกาสที่เราจะเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าทางการเกษตรในประเทศไทย
“ธนาธร” ปิดท้าย ชี้ ไทยต้องดันทุนใหญ่ออกไปแข่งระดับนานาชาติ ไม่ใช่มาปิดกั้นโอกาสคนไทย-ธุรกิจขนาดกลาง-รายย่อยในประเทศ สิ่งที่เรานำเสนอวันนี้ เป็นเพียงด้านหนึ่งที่สะท้อนปัญหาของทุนผูกขาดในประเทศไทย ซึ่งตนอยากพาทุกคนมาดูโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่เอื้อกับกลุ่มทุนผูกขาด และบทบาทของกลุ่มทุนใหญ่ที่ควรจะเป็น
“กลุ่มทุนใหญ่ต้องไม่มาเอาเปรียบผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กผ่านกลไกกฎหมาย ผ่านกลไกการเอื้อประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ แต่เราต้องสนับสนุนเขาให้ออกไปแข่งขันกับโลกภายนอก ไปเอามูลค่าเพิ่มกลับมา แล้วเอามูลค่าเพิ่มตรงนั้นมาแบ่งกันใน supply chain เอามูลค่าเพิ่มที่ไปดึงได้จากโลกมาแบ่งกัน นี่ต่างหากควรจะเป็นบทบาทของทุนใหญ่ในประเทศที่กำลังพัฒนา” ธนาธรกล่าวปิดท้าย
เครดิตภาพเพจ พรรคอนาคตใหม่ – Future Forward Party