ปมกักตุนหน้ากาก วันที่ 10 เม.ย. นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า
“อย่าฉวยโอกาสใช้กฎหมายรังแกหรือปิดปากพลเมืองดี
หน้ากากอนามัยถูกประกาศเป็นสินค้าควบคุมและกำหนดราคาจำหน่ายปลีก ไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท ดังนั้น การที่เสี่ยบอยไลฟ์โฆษณาว่ามีหน้ากากอนามัยถึง 200 ล้านชิ้น ขายในราคาที่เกินประกาศจึงเป็นความผิด ส่วนที่เพจแหม่มโพธิ์ดำ นำโพสต์ของบุคคลดังกล่าวมาแสดงความเห็นต่อยอด เพื่อให้เกิดการตรวจสอบและดำเนินคดี จึงขาดเจตนาทุจริต หรือโดยหลอกลวง หรือต้องการช่วยเหลือผู้กระทำผิด การกระทำดังกล่าวจึงไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน
หน้ากากอนามัยถูกประกาศเป็นสินค้าควบคุมและกำหนดราคาจำหน่ายปลีก ไม่เกินชิ้นละ 2.50 บาท ดังนั้น การที่เสี่ยบอยไลฟ์โฆษณาว่า มีหน้ากากอนามัยถึง 200 ล้านชิ้นขายในราคาที่เกินประกาศจึงเป็นความผิด ส่วนที่เพจแหม่มโพธิ์ดำนำโพสต์ของบุคคลดังกล่าวมาแสดงความเห็นต่อยอดเพื่อให้เกิดการตรวจสอบและดำเนินคดีจึงขาดเจตนาทุจริต หรือโดยหลอกลวง หรือต้องการช่วยเหลือผู้กระทำผิด การกระทำดังกล่าวจึงไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน
การกระทำความผิดฐานนำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ตามมาตรา 14 (1) จะต้องมีเจตนาพิเศษ คือ โดยทุจริต หรือโดยหลอกหลวง และการกระทำนั้นต้องน่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ดังนั้น ก่อนแจ้งข้อหาท่านรองต้องตอบให้ได้ก่อนว่าการกระทำดังกล่าวมีเจตนาทุจริตหรือโดยหลอกลวงและเสียหายกับประชาชนอย่างไร ไม่เช่นนั้นคนแจ้งข้อหาจะกลายเป็นผู้ต้องหาเสียเอง อย่ามักง่ายกับประชาชนครับ
กรณีไม่ต่างจากการโพสต์ข้อความว่า “เงินเยียวยา 5,000 บาท เข้าบัญชีแล้วแค่เศษเงินหลังตู้เย็น” อาจจะฟังแล้วไม่เหมาะสมแต่ก็ไม่เป็นความผิดตามกฎหมายคอมพิวเตอร์เช่นกัน จำไว้ว่าไทยเป็นสังคมนิติรัฐ (legal state) คือ สังคมที่ใช้กฎหมายเป็นหลักในการปกครอง รัฐจึงต้องเคารพหลักการของกฎหมายและไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจหรือทำตามกระแส ประเทศไทยเสียหายเพราะศรีธนญชัยสอพลอมาเยอะแล้ว
วัฒนา เมืองสุข
10 เมษายน 2563”