บ๊วย เชษฐวุฒิ กลิ่นอายของข่าวบันเทิงวันนี้ อาจจะแปลกใหม่ไปเสียหน่อยสำหรับ Bright Today ไม่มีเรื่องเกาเหลา ข่าวเม้าท์มอย พักเรื่องคดีความ และดราม่าดาราไปชั่วอึดใจ แต่ทั้งหมดทั้งมวลเป็นความแปลกใหม่ที่ทีมงานทุกคน (ตั้งใจ) อยากนำเสนอ
ดิฉันมีโอกาสได้อ่านบทความหนึ่งจากเว็บไซต์ The Space ผู้เขียนเขานัดเจอกับนักแสดงวัยกลางคน หน้าตี๋ เจ้าของทรงผมสกินเฮดที่เราแทบจะเห็นเขาตัดทรงนี้มาทั้งชีวิต He is…คุณ บ๊วย เชษฐวุฒิ ลูกชายเจ้าของสูตรพะโล้ที่เจ้าของเรื่องขอเคลมว่า “นี่คือไข่พะโล้ที่อร่อยเข้มข้น ถึงเครื่องที่สุด” หิวเลยใช่ไหมล่ะ?


แต่ประเด็นที่ดิฉันอยากให้คุณผู้อ่าน Bright Today ได้กวาดสายตาไปพร้อมกับใจที่ถูกห่อหุ้มด้วยไออุ่นๆ คือบรรทัดที่กล่าวถึงจดหมายรักระหว่างคุณบ๊วยกับลูกสาว เป็นเรื่องราวที่ไม่ได้มีแค่คู่รักเท่านั้นที่จะคู่ควรกับคำจำกัดความนี้ เพราะ “ความโรแมนติก” เกิดได้กับคนทุกชนชั้น ทุกเพศ ทุกวัย และทุกสถานะ คุณบ๊วยกับลูกสาวพิสูจน์แล้วค่ะ…
“ฉันไปเจอเรื่องราวโรแมนติกของบ๊วยเข้า” เจ้าของเรื่องเกริ่นนำ “มันคือจดหมายรักระหว่างบ๊วยกับลูกสาวที่ใช้สื่อสารส่งหากัน ฉันเชื่อว่าในช่วงวัยรุ่นของใครหลายคน ก็คงเคยผ่านประสบการณ์ของการเขียนจดหมายรักหรือเคยได้รับจดหมายรักจากคนที่เราแอบชอบหรือแอบรักมาบ้าง มันคือนาทีของความปลื้มปริ่ม เขินอาย และบางทีหัวใจก็เต้นผิดจังหวะจากความลุ้นระทึกในขณะที่กำลังค่อยๆ บรรจงแกะซองออก
แต่จดหมายรักระหว่างความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกมันพิเศษกว่านั้น มันคือสายใย คือความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ คือความปรารถนาดี ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีความคาดหวัง”


“แดดดี๊อยากเล่าให้ฟังว่าพักนี้แดดดี๊คิดถึงหนูและน้องบ่อยมากขึ้น (สงสัยได้เจอและกอดกันน้อย) ก็อย่างที่เคยบอกไปแล้ว ดี๊เข้าใจมากๆ ที่หนูและน้องจะเล่นกับเพื่อนมากกว่าตอนอยู่ที่โรงเรียน แดดดี๊มีคำถามค่ะ ล่าสุดที่ดี๊อยู่ดูหนูเล่นกับเพื่อนๆ โดยที่ไม่กลับก่อน หนูรู้สึกดีกว่าให้ดี๊กลับก่อนมั้ย? หรือดี๊คิดไปเอง? ไม่ว่าคำตอบจะคืออะไร แดดดี๊ก็ยังอยากดูลูกสาวและลูกชายค่อยๆ เติบโต อยากแค่อยู่ใกล้ๆ ก็มีความสุขแล้ว…”
“เราเคยบอกลูกนะว่าการเจอกันน้อยเป็นเวลาที่มีคุณค่า
มันไม่ใช่เรื่องของความโชคร้ายจังเลยที่เราได้เจอกันน้อย
แต่เราโชคดีจังเลยที่เจอกันน้อยเพราะมันทำให้เราได้รักกันมากขึ้น
มันทำให้เราดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่มีคุณค่า
มันก็เหมือนเวลาดื่มเอสเปรสโซ่ช็อตนั่นล่ะ”
อ่านจบแล้วใช่ไหมคะ? สังเกตตัวเองหน่อยสิ ว่าคุณกำลังเมื่อยแก้มเพราะไม่ได้พักจากการอมยิ้มเลยหรือเปล่า…