น้ำมัน ชนิดไหนเหมาะกับการลดไขมัน และดีต่อสุขภาพหรือเปล่า เราต้องรู้ “จุดเกิดควัน” (Smoke Point) ก่อน
จุดเกิดควัน (SMOKE POINT) สำคัญอย่างไร?
1.น้ำมันที่เราควรใช้กับเมนูทอด หรือ เมนูผัด ควรเป็นน้ำมันที่มีจุดเกินควันสูง (High Smoke Point) นั่นคือ น้ำมันชนิดนั้นต้องทนความร้อนได้ดี
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเอาน้ำมันมะกอกแบบสกัดเย็น (Extra-virgin Olive Oil) ไปทำเมนูผัด มันอาจจะเกิดควันเร็ว เพราะมีจุดเกิดควันต่ำ หรือไม่ทนความร้อน และอาจจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็งได้ค่ะ
ดังนั้น การเลือกน้ำมันมาทำอาหาร เราต้องดูว่าเมนูนั้นๆด้วยว่า ใช้อุณภูมิเท่าไหร่ หรือใช้ไฟแรงแค่ไหนด้วย เพราะยิ่งน้ำมันชนิดไหนมีจุดเกิดควันสูง มันก็ยิ่งจะทนความร้อนได้ดีเท่านั้น
เมื่อเข้าใจหลักการเบื้องต้นแล้วมาเรียนรู้กันต่อเลยค่ะว่า น้ำมันชนิดใด ที่เหมาะกับการทำอาหารแบบใด และ จะ ช่วย ลดเจ้าไขมันรอบๆ พุงเราได้อย่างไรค่ะ
1. น้ำมันมะพร้าว (COCONUT OIL)
น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil) คือ หนึ่งในน้ำมันที่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า มันส่งผลดีหรือผลเสียต่อสุขภาพกันแน่
แต่ก็มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือหลายชิ้นมากที่พบว่า ไขมันอิ่มตัวที่พบในน้ำมันมะพร้าว คือไขมันอิ่มตัวชนิดที่ดีต่อสุขภาพ
เพราะมันเข้าไปช่วยให้สมองทำงานดีขึ้น เพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลดี (HDL) และมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจอีกด้วย ไขมันที่พบในน้ำมันมะพร้าว จะเป็นแบบสายกลาง (Medium-chain Triglycerides: MCTs)
ซึ่ง MCTs Oil เมื่อกินเข้าไปแล้ว ตับจะสามารถเปลี่ยนไปเป็นพลังงานที่ร่างนำไปใช้ได้ทันที ไม่ทำให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น โดยเฉพาะไขมันหน้าท้อง

2. น้ำมันมะกอก (OLIVE OIL)
น้ำมันมะกอกสกัดเย็น (Extra Virgin Olive Oil) ถือว่าเป็นหนึ่งในน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพที่สุดเพราะอุดมไปด้วยกรดไขมันดี และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่นักงานวิจัยพบว่าอาจจะช่วยลดความส่วนโรคหัวใจ และโรคมะเร็งได้ และต้องระวังในการใช้น้ำมันมะกอก คือ น้ำมันมะกอกจะไม่ทนความร้อน หรือมีจุดเกิดควันต่ำนั่นเอง จึงไม่แนะนำให้ใช่ในการปรุงอาหาร ที่ต้องใช่ความร้อนนะคะ แต่จะเหมาะกับ เมนูอาหาร เช่น สลัด
ปริมาณที่ ทานได้ต่อวัน คือ ไม่เกิน 1 ช้อนโต๊ะ จะให้พลังงานแคลอรี่ มากถึง 120 แคลอรี่ครับ
สรุปคือ น้ำมันมะกอก ไม่เหมาะกับการปรุงอาหารที่ใช่ความร้อน ทานได้ไม่เกิน 1 ช้อนโต๊ะ

3. น้ำมันอโวคาโด (AVOCADO OIL)
น้ำมันอโวคาโด (Avocado Oil) มีประโยชน์และข้อดีเหมือนกับน้ำมันมะกอกสกัดเย็นเลยค่ะจุดเด่นของน้ำมันอโวคาโดจะอยู่ตรงที่มีจุดเกิดควัน หรือ “Smoke Point” สูงกว่าน้ำมันมะกอก หรือว่าทนความร้อนได้ดีกว่า
ดังนั้น น้ำมันอโวคาโด จึงเหมาะที่จะนำมาทำเมนูผัดและทอด ได้เหมือนน้ำมันมะพร้าว แต่ น้ำมัน อโวคาโด จะค่อนข้างหาซื้อยาก และ ราคาสูง ดังนั้นเลือกใช่ น้ำมันมะพร้าวทดแทนได้

4. น้ำมันคาโนลา (CANOLA OIL)
น้ำมันคาโนลา (Canola Oil) ถือได้ว่าเป็นอีก น้ำมันที่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน เพราะอุดมไปด้วย ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว และและไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนสูง น้ำมันคาโนลายังมีไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นด้วย เช่น น้ำมันดอกทานตะวันน้ำมันคาโนลา มีจุดเกิดควันสูง ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 240 ℃ จึงเหมาะที่นำมาทำเมนูผัด หรือเมนูทอด เพราะทนความร้อนได้ดี
น้ำมันคาโนลา มีจุดเกิดควันที่สูงมาก จึงเหมาะกับการน้ำมาทอด และ จะให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ ก็ควรเลือกแบบ สกัดเย็น
5. น้ำมันถั่วลิสง (PEANUT OIL)
น้ำมันถั่วลิสง (Peanut Oil) เป็นน้ำมันที่เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่คนรักสุขภาพ เพราะเป็นไขมันดี และมีจุดเกิดควันสูง หรือประมาณ 232 ℃ จึงทนความร้อนได้ดีมาก แถมน้ำมันถั่วลิสงยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวสูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันชนิดอื่นด้วย ค่ะ
น้ำมันถั่วลิสง เหมาะกับ การทอด ใช่ปรุงอาหารได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่ได้ มีคุณสมบัติพิเศษ เมือเทียบกับ น้ำมัน มะพร้าว หรือ น้ำมัน อโวคาโด

หากจะให้น้ำมันในการปรุงอาหาร ควรคำนึงถึงปริมาณที่ควรทานต่อวัน ถึงจะเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ ก็ยังให้แคลอรีที่สูง ดังนั้น เราควรตวงด้วยช้อนชาหรือช้อนโต๊ะ ทุกครั้งถ้าเป็นไปได้
อ่านต้นฉบับ : วิธีเลือก น้ำมัน สำหรับปรุงอาหารเพื่อลดไขมัน
สนใจน้ำมันมันพร้าวสกัดเย็น Maxxlife เพื่อสุขภาพ คลิก
https://www.maxxlifethailand.com/product/21617/coconut-oil1