กรมสรรพสามิต ภาษีเค็ม-ไขมัน อยู่ในขั้นการศึกษายังไม่มีผลบังคับใช้ในเร็ว ๆ นี้ ยันรัฐบาลไม่ได้ “ถังแตก” แต่ต้องการดูแลสุขภาพประชาชน พร้อมเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้า หากให้เป็นสินค้าที่นำเข้าได้
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวถึงแนวคิดเรื่องการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในสินค้าที่ใช้ไขมันทรานส์และสินค้าที่มีความเค็มว่า ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ในเร็ว ๆ นี้ ส่วนความจำเป็นที่ต้องจัดเก็บภาษี เพราะต้องการดูแลสุขภาพของคนในประเทศ และเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ช่วยส่งเสริมนวัตกรรมกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ (New S Curve) อีกทั้งต้องการมุ่งเน้นเรื่องสุขภาพอนามัย ซึ่งในระยะยาวจะเป็นการช่วยลดภาระงบประมาณค่ารักษาพยาบาล ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ถังแตกและต้องการหารายได้เพิ่มจากการเก็บภาษีนี้แต่อย่างใด
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวอีกว่า กรมสรรพสามิตต้องการเปลี่ยนบทบาทที่ถูกมองว่าเป็นกรมที่จัดเก็บภาษีบาป ซึ่งหมายความว่ายิ่งเก็บภาษีได้มาก ผลเสียกับประชาชนก็มาก มาเป็นกรมจัดเก็บภาษีที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยเรื่องภาษีสินค้าที่มีความเค็มและใช้ไขมันที่ไม่ดี เป็นนโยบายที่จะช่วยดูแลเรื่องสุขภาพของคนในชาติ กินเค็มมากไปก็เป็นโรคไต ส่วนไขมันทรานส์แม้จะมีการห้ามนำเข้า แต่ระหว่างกระบวนการผลิตก็อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะต้องไม่ให้มีอยู่ในอาหาร” นายพชร กล่าว
อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวอีกว่า การเก็บภาษีของเค็มและไขมันทรานส์เป็นการเก็บภาษีต้นทางจากผู้ประกอบการ จะไม่กระทบกับผู้บริโภค เช่นเดียวกับการเก็บภาษีสินค้าที่มีความหวาน ในกรณีนี้จัดเก็บกับสินค้าที่มีการบรรจุหีบห่อและระบุปริมาณโซเดียมที่ชัดเจน เช่น ซอสปรุงรส บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ แต่ไม่รวมอาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง เพราะไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการ โดยหลักการสินค้าที่สามารถลดความเค็มหรือไม่มีไขมันทรานส์ได้ ควรจะมีราคาขายต่ำกว่า แต่ปัจจุบันกลับเป็นว่าของยิ่งเค็มมากกลับขายถูกกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
**ยันพร้อมเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้า
ส่วนกรณีที่จะมีการจัดเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้านั้น กรมสรรพสามิตยืนยันว่ากรมฯ พร้อมเก็บภาษี เพราะมีอัตราภาษีอยู่ในพิกัดตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฉบับใหม่ แต่การตัดสินใจว่าจะเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้าหรือไม่นั้นต้องขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงพาณิชย์ ที่น่าจะมีข้อมูลชัดเจนถึงความจำเป็นการจัดเก็บภาษีมากกว่า และสาเหตุที่ไม่มีการเก็บภาษี เพราะกระทรวงสาธารณสุขเห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อการทำลายสุขภาพ โดยที่ผ่านมา 3 เดือน กรมดำเนินการจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าที่ขายผ่านทางออนไลน์ มีการฟ้องร้องไปแล้วกว่า 80 คดี คิดเป็นค่าปรับประมาณ 5 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงพาณิชย์รับทราบปัญหาแล้ว และมีการแต่งตั้งคณะทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อมาพิจารณาในเรื่องนี้ แต่ในชั้นนี้บุหรี่ไฟฟ้ายังถือว่าเป็นสินค้าที่ห้ามนำเข้า จึงไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ หากเห็นว่าสามารถนำเข้าได้ เราถึงค่อยเก็บภาษี โดยมีพิกัดภาษีรองรับไว้แล้ว