ดูเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากสำหรับการควักเงินในกระเป๋าเพื่อซื้อความคุ้มครองให้กับชีวิตและสุขภาพ เพราะบริษัทประกันชีวิต ต่างก็อ้างว่าข้อเสนอที่บริษัทตัวเองมีให้นั้น คุ้มค่ากับการคุ้มครองที่ได้รับ
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงได้ทำการสำรวจเปรียบเทียบผลประโยชน์ของประกันชีวิต จากบริษัทประกันชีวิตที่มีสัดส่วนทางการตลาดสูงสุด 11 รายแรก จากทั้งหมด 22 บริษัท โดยทั้ง 11 บริษัทนี้มีสัดส่วนในการครองตลาดถึง 94.3%
ในการสำรวจนั้น ทางมูลนิธิเพื่อผู้ยริโภคได้ตั้งโจทย์ไว้ให้เป็นการซื้อประกันชีวิตของเพศชาย อายุ 35 ปี สถานภาพโสด เป็นพนักงานออฟฟิศ ไม่มีความเสี่ยงและเกิดอุบัติเหตุได้น้อย สนใจเลือกซื้อประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ทุนประกันชีวิต จำนวน 200,000 บาท ระยะเวลาคุ้มครองชีวิต 20 – 25 ปี ชำระเบี้ยประกันในช่วง 15 – 20 ปี พร้อมมีค่ารักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล และการชดเชยการขาดรายได้ขณะเป็นผู้ป่วย โดยใช้ข้อมูลอัตราค่าห้องพักประเภทเตียงเดี่ยวประมาณ 3,000 บาท/วัน มาเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ โดยได้พบกับตัวแทนขายประกันและเปรียบเทียบใบเสนอราคาในช่วงเดือนมิถุนายน 2561
ผลการเปรียบเทียบที่ออกมานั้น พบว่า แต่ละแห่งมีข้อเสนอและเงื่อนไขหลักที่คล้ายคลึงกัน แต่มีเบี้ยประกันชีวิตที่ต้องชำระแตกต่างกัน รวมถึงผลตอบแทน หรือเงินคืนระหว่างสัญญาหรือเงินปันผลที่แตกต่างกัน
การพิจารณาว่าควรจะเลือกซื้อประกันชีวิตจากบริษัทไหน จึงใช้การวิเคราะห์ด้านการเงินมาพิจารณา คือ การใช้ค่า IRR (Internal Rate of Return) ซึ่งเป็นการคำนวณผลตอบแทนต่อปีที่ผู้ซื้อประกันชีวิตจะได้ โดยบริษัทที่ให้ผลตอบแทน IRR ค่าเป็นบวกมากเท่าใด แสดงว่าให้ผลตอบแทนดีกว่า เรียกว่า ค่า IRR ยิ่งมากยิ่งดี และไม่ควรติดลบ โดยพบว่า อาคเนย์ประกันชีวิตให้ค่า IRR มากที่สุดอยู่ที่ 2.23% ตามด้วยเมืองไทยประกันชีวิต 1.64% ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต 1.17% เอไอเอ 1.13% ไทยประกันชีวิต 0.7% กรุงไทยแอกซ่า 0.46% พรูเด็นเชียล 0.39% ไทยสมุทรประกันชีวิต 0.34% อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชัวิต 0.07% FWD -0.42% และกรุงเทพประกันชีวิต -0.253%
จากการเปิดเผยของนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุว่า ผู้บริโภคควรเลือกที่มี IRR สูง เพราะให้ผลตอบแทนดีที่สุด ซึ่งตอนซื้อประกันควรถามว่าให้ผลต่อแทนต่อปี หรือ IRR เท่าไร ซึ่งอย่างน้อยควรได้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร แต่อาจต้องพิจารณาเงื่อนไขอื่น ๆ ด้วย เช่น ตัวแทนที่มีคุณภาพ การให้บริการของสำนักงานสาขาต่าง ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจพบว่า ปัญหาสำคัญของประเทศไทย คือ เราไม่สามารถซื้อประกันสุขภาพได้อย่างเดียว ต้องซื้อประกันหลักก่อน ซึ่งต่างจากต่างประเทศที่สามารถซื้อประกันสุขภาพอย่างเดียวได้ ถือเป็นปัญหาสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อเฉพาะค่ารักษาพยาบาลบางอย่างเพิ่มเติม
พิจารณาก่อนซื้อประกัน
- เลือกที่มี IRR สูง เพราะให้ผลตอบแทนดีที่สุด
- IRR ควรมากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร
- ตัวแทนที่มีคุณภาพ
ส่วนปัญหาเกี่ยวกับประกันชีวิตที่ถูกร้องเรียนเข้ามาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เป็นอันดับต้น ๆ คือ เรื่องการถูกบอกเลิกสัญญา เพราะไม่มีการตรวจสุขภาพก่อนทำประกัน ทั้งที่การทำประกันต้องมีการแถลงว่า ไม่มีโรคภัยร้ายแรงมาก่อน เช่น ไม่เคยเป็นเบาหวาน ความดัน มาก่อน แต่ตัวแทนมักไม่ถาม นอกจากนี้ คือไม่มีการชี้แจงเงื่อนไขในสัญญา ทำให้ผู้บริโภคไม่ทราบเงื่อนไขหรือรายละเอียด ทำให้เมื่อไปใช้จริงไม่สามารถเคลมได้ เช่น ต้องเป็นโรงพยาบาลในเครือของบริษัทประกันเท่านั้น หรือไม่ครอบคลุมการตรวจด้วยเอ็มอาร์ไอ ซึ่งผู้บริโภคไม่ทราบเลย นอกจากนี้ ยังมีการทำประกันผ่านการกู้ซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ กับธนาคารด้วย ซึ่งหากไม่ผ่านเรื่องสุขภาพก็กู้สินเชื่อไม่ได้อีกทำให้เกิดปัญหาขึ้น
ก่อนลงนามในการทำประกันชีวิตหรือสุขภาพ ผู้บริโภคจึงควรตรวจสอบรายละเอียดก่อน หากเป็นโรคเบาหวาน ความดัน ต้องบอกผู้ขายไปเลยเพื่อประกอบการพิจารณาสินเชื่อ และป้องกันไม่ให้ถูกบอกล้างสัญญาภายหลัง หรือมีหลักฐานในการสู้คดีได้ และให้ตรวจสอบในกรมธรรม์ตนเองว่าตรงกับข้อเสนอที่ตัวแทนแจ้งไว้หรือหรือไม่ หากไม่ตรงให้บริษัทกลับไปแก้ไขได้ หรือบอกเลิกได้ภายใน 30 วันที่รับกรมธรรม์