โลกออนไลน์ตั้งข้อสังเกต สธ.ดันร่าง พ.ร.บ.ยา ฉบับใหม่เอื้อนายทุน ช่วยให้ร้านสะดวกซื้อขายยาได้สะดวก ขณะที่วงการสาธารณสุขยังเสียงแตก โต้กันนัวควรให้พยาบาลจ่ายยาหรือไม่
จากที่คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยกร่าง พ.ร.บ. ยาฉบับใหม่ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาใช้แทน พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการกำหนดเพิ่มวิชาชีพที่สามารถปรุงและจ่ายยาได้ จากที่กฎหมายฉบับเดิมกำหนดให้ แพทย์ ทันตแพทย์ และสัตวแพทย์ เป็นวิชาชีพที่สามารถปรุงและจ่ายยาได้นอกเหนือจากเภสัชกร
ล่าสุดโลกออนไลน์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การแก้ไข พ.ร.บ.ยาฉบับใหม่ เป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับร้านสะดวกซื้อให้สามารถขายยาได้ เนื่องจากปัจจุบันร้านสะดวกซื้อมีปัญหาไม่สามารถหาเภสัชกรประจำร้านยาได้
ที่ผ่านมา สภาการพยาบาลได้ประกาศจุดยืนวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์กับความปลอดภัยในการใช้ยา สนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ยาดังกล่าว เพราะเชื่อว่าจะเอื้อให้ทุกวิชาชีพด้านสุขภาพสามารถทำงานร่วมกันบนความทับซ้อนของวิชาชีพในระบบสุขภาพได้และมั่นใจว่าพยาบาลสามารถวินิจฉัยแยกโรคและการรักษาเบื้องต้นได้
อย่างไรก็ตามหลังสภาการพยาบาลออกประกาศดังกล่าว มีผู้แสดงความคิดเห็นคัดค้านเรื่องดังกล่าว โดยระบุว่าการให้วิชาชีพอื่น ๆ เข้ามาจ่ายยาได้นั้น อาจเป็นการก้าวก่ายหน้าที่ระหว่างกัน ขณะที่บางส่วนเห็นว่าเป็นการเพิ่มภาระงานให้พยาบาล นอกจากนี้ยังมีบางส่วนที่กังวลว่า หากให้วิชาชีพจ่ายยาได้ อนาคตอาจไม่มีใครเรียนเภสัชศาสตร์ที่ต้องใช้เวลาถึง 6 ปี
นพ.วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการ อย. ระบุว่า พ.ร.บ.ยาฉบับใหม่นี้ ได้มีการประชาพิจารณ์หลายครั้ง โดยมีความเห็นพ้องกันในการแก้ไขเนื้อหาร่างกฎหมายกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เช่น การขึ้นทะเบียนยาเดิมแก้ไขให้มีการทบทวนทุก ๆ 7 ปี จากเดิมที่เป็นการขึ้นทะเบียนตลอดชีพ ส่วนอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ที่ยังมีความเห็นไม่ตรงกันเป็นประเด็นเดิมที่ทำให้การแก้ไข พ.ร.บ.ยาครั้งที่ก่อนไม่สำเร็จ อาทิ คำนิยามยา ที่ยังมีร้านขายยาที่เปิดตาม พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 ซึ่งไม่ได้กำหนดว่าต้องมีเภสัชกรประจำร้านก็อนุโลมให้เปิดต่อไปได้ แต่ร้านขายยาที่จะเปิดใหม่จะต้องให้มีเภสัชกรประจำ นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเปิดเผยโครงสร้างราคายา การจดสิทธิบัตรยา รวมถึงเรื่องวิชาชีพที่อนุญาตให้ปรุงยาและจ่ายยาได้ จึงจะเสนอร่างกฎหมายที่ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันแล้วเข้าไปก่อน ส่วนความเห็นที่ยังไม่เห็นไม่ตรงกันให้เปิดช่องเขียนไว้ในกฎหมาย ว่าให้มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาปรับแก้
ทั้งนี้ ได้มีความพยายามในการแก้ไข พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาขาดแคลนบุคลากรสาธารณสุข ซึ่งรวมถึงกลุ่มวิชาชีพเภสัชกรด้วย จากการศึกษาภาพรวมจำนวนความต้องการเภสัชกรระยะ 10 ปี พบว่า ประเทศไทยมีจำนวนเภสัชกรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ไม่ถึงร้อยละ 50 ของจำนวนที่ควรจะมี โดยปี 2559 มีเภสัชกรในสังกัด สธ. 7,743 คน หรือคิดเป็นอัตราส่วน 1 คนต่อประชากร 10,000 คน จากอัตรากำลังที่ควรมี 17,128 คน หรือ เภสัชกร 2.8 คนต่อประชากร 10,000 คน ขณะที่ผลการศึกษาความต้องการเภสัชกรในระยะ 10 ปี (ถึงปี 2569) พบว่าประเทศไทยมีความต้องการบรรจุเภสัชกรถึงปีละ 1,602 คน ติดต่อกัน 10 ปี รวม 16,018 คน คิดเป็นสัดส่วน 3.7 คน ต่อประชากร 10,000 คน
