“APEC 2022” หรือ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก คืออะไร ไทยได้ประโยชน์ตรงไหน หลังเป็นเจ้าภาพจัดงาน
APEC 2022 เอเปค คืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร ไทยเป็นเจ้าภาพได้ประโยชน์อะไรบ้าง
เอเปค คือเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีเป้าหมายส่งเสริมการเปิดเสรีการค้า-การลงทุน รวมถึงความร่วมมือในด้านอื่นๆ เพื่อนำไปสู่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม ยั่งยืน และความมั่งคงของประชาชนในภูมิภาค
เอเปคสมาชิกจำนวน 21 เขตเศรษฐกิจ มีประชากรรวมกว่า 2,900 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของโลก มี (GDP) รวมกันกว่า 53 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,700 ล้านล้านบาท เกินครึ่งของ GDP โลกและมีมูลค่าการค้ารวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของการค้าโลก ซึ่งทำให้มูลค่าการลงทุนเติบโตระหว่างประเทศภายในกลุ่มสมาชิก APEC อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในห้วงสัปดาห์การประชุมผู้นำฯ จะมีการประชุม APEC CEO Summit ระหว่างวันที่ 16-18 พฤศจิกายน และกิจกรรมเยาวชน APEC Voices of the Future 2022 ระหว่างวันที่ 12-19 พฤศจิกายน คู่ขนานกันไปด้วย

ชะลอม มาเป็นสัญลักษณ์งานประชุมระดับโลกนี้ได้อย่างไร
ชะลอม คือแบบที่ชนะการประกวด เป็นภาชนะใส่สิ่งของและสื่อถึงการค้าขายของไทยในสมัยก่อน ผู้ออกแบบคือ นายชวนนท์ วงศ์ตระกูลจง นิสิตคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าว่า แรงบันดาลใจที่ทำให้เขาใช้ชะลอม มาจากความคิดว่าสัญลักษณ์นี้จะต้องสะท้อนถึงความเป็นไทยและตัวตนของเอเปค อีกทั้งชะลอมสื่อถึงหัวข้อหลักของการประชุมเอเปคในปี 2565 คือ OPEN: ชะลอมมีลักษณะปลายเปิดไว้ใช้ใส่สิ่งของต่าง ๆ จึงเสมือนว่าเป็นการสื่อการค้าลงทุนที่เปิดกว้าง
CONNECT: เพราะชะลอมมีไว้ใส่สิ่งของเพื่อขนส่ง จึงเปรียบได้กับความเชื่อมโยงระหว่างกันในภูมิภาค BALANCE: ชะลอมทำจากวัสดุธรรมชาติ จึงถือว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสอดคล้องกับรูปแบบเศรษฐกิจ BCG ที่เป็นวาระสำคัญของไทยและกำลังผลักดันในเวทีเอเปค 2565 นี้

ไทยได้ประโยชน์อะไร ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC 2022
ไทยได้รับประโยชน์มากมายจากการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม เช่น ได้ใช้ประโยชน์จากการหารือภายใต้กรอบเอเปค ในการแสวงหาความร่วมมือกับสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปค เพื่อปฏิรูปและยกระดับมาตรฐานทางเศรษฐกิจของไทยให้ทันสมัยและเป็นสากล รวมถึงยกระดับการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ได้พัฒนาระบบเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า พร้อมทั้งลดข้อจำกัดและอุปสรรคทางการค้าระหว่างเขตเศรษฐกิจ รวมถึงสร้างโอกาสทางการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับเขตเศรษฐกิจเอเปค ได้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาครัฐและภาคเอกชน เสริมสร้างศักยภาพให้ผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อยของไทยเข้าสู่ระบบการค้าโลกได้
อีกทั้งเป็นการสนับสนุนการนำไปสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ซึ่งถือเป็นการดำเนินงานที่สอดรับกับบริบทโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (Disruption) ได้แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จากคณะทำงานของเขตเศรษฐกิจอื่น ๆ รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเข้าถึงองค์ความรู้จาก Think Tank ที่สำคัญ เช่น Pacific Economic Cooperation Council (PECC) และ Organization for Economic Cooperation and development (OECD)

นอกจากนี้ การเป็นเจ้าภาพการประชุมของไทยท่ามกลางบรรยากาศการฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะภาคการเดินทางและท่องเที่ยว ภาคธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการค้าดิจิทัล ซึ่งเป็นการฟื้นฟูการเดินทางและการทำธุรกิจแบบพบหน้า ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้ ให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และลดความเหลื่อมล้ำอันก่อให้เกิดการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน รวมถึงเป็นโอกาสในการแสดงความพร้อมว่าไทยสามารถปรับตัว และอยู่ร่วมกับสถานการณ์โควิด-19 โดยที่ยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปพร้อมกันได้
ประโยชน์ที่คาดว่าไทยในฐานะเจ้าภาพจะได้รับจากการประชุมเอเปค
ประการแรก บทบาทไทยในเวทีเศรษฐกิจโลก ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปคครั้งนี้ จะได้แสดงศักยภาพให้นานาชาติได้เห็นถึง 1) ความพร้อมในการจัดงานระดับนานาชาติเพื่อต้อนรับผู้นำทั้งภาครัฐและเอกชนจากประเทศต่างๆ 2) ศักยภาพของประเทศไทยในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลก 3) การเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนานาชาติที่มีต่อประเทศไทยในการมีจุดยืนไม่เลือกข้าง สร้างหุ้นส่วน ซึ่งประเทศไทยเชื่อว่าจะนำไปสู่การสร้างสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคที่จะช่วยส่งเสริมสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
ประการที่สอง การค้าระหว่างไทยกับเอเปคมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น เมื่อพิจารณาจากหลักการรวมกลุ่มของเอเปคที่เน้นความร่วมมือในการเปิดเสรีการค้าและการลงทุน การอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุนระหว่างกัน และการให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศรายงานว่าในปี 2564 การค้าระหว่างประเทศของไทยกับกลุ่มเอเปค มีมูลค่า 3.85 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 71.5% ของการค้าไทยกับโลก โดยไทยส่งออกไปเอเปค มูลค่า 1.95แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (72% ของการส่งออกรวม) และนำเข้าจากเอเปค มูลค่า 1.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (71% ของการนำเข้ารวม) สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย. 2565) มูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับกลุ่มเอเปค อยู่ที่ 3.14 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 68.7% ของการค้าไทยกับโลก
ประการที่สาม เอเปคสนับสนุนแนวทางภูมิภาคนิยมแบบเปิด (Open Regionalism) ซึ่งหมายถึงการให้สิทธิประโยชน์กับประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกเอเปคด้วย จึงเป็นการเพิ่มโอกาสการขยายห่วงโซ่อุปทานของไทยทั้งในและนอกภูมิภาคมากขึ้น และเพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้ไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบและฐานการผลิตที่มีความหลากหลายได้มากขึ้น ทั้งนี้ อุตสาหกรรมของไทยที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการส่งออกและการเป็นฐานการผลิต ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเกษตรและเกษตรแปรรูป เนื่องจากไทยมีอุตสาหกรรมสนับสนุนและมีซัพพลายเชนแข็งแกร่ง ความน่าสนใจลงทุนในไทยในฐานะศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ของอาเซียนจึงมีอยู่
ประการที่สี่ พื้นที่อีอีซีมีแนวโน้มดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามามากขึ้น และต่อยอดให้ไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค (Regional Hub) 5 ด้าน ได้แก่ Tech Hub ศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม, BCG Hub ศูนย์กลางการลงทุนเศรษฐกิจ BCG, Talent Hub ศูนย์รวมผู้มีศักยภาพจากทั่วโลก เช่น ผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรทักษะสูง, Logistics Hub ศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค และ Creative Hub ศูนย์กลางอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ “ไทยแลนด์ 4.0” แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ 2566 – 2570) ของสภาพัฒน์ฯ และยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) ของบีโอไอ ได้แก่ ดิจิทัล BCG ไบโอเทค เมดิคัล สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์อัจฉริยะ รวมถึงกลุ่มสตาร์ทอัพ ทั้งนี้ เมื่อ BCG Economy Model ถูกประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติและเป็นแนวคิด(ธีม) หลักของการประชุมเอเปคครั้งนี้ ก็คาดว่าจะทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมากให้ความสำคัญกับ BCG มากขึ้นและดึงคนรุ่นใหม่มาร่วมขับเคลื่อนเพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ใหม่ของประเทศ อีอีซีจึงน่าจะตอบโจทย์การเป็นประเทศชั้นนำด้านสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูง การมี SMEs ที่เข้มแข็ง แข่งขันได้ และเป็นเศรษฐกิจหมุนเวียนคาร์บอนต่ำ
ประการที่ห้า ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพได้ชูโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญภายใต้หัวข้อการสร้างสมดุลรอบด้าน (Balance.) ซึ่งประกอบด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy Model) สอดคล้องกับกระแสโลกที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์จากการประชุมเอเปครอบนี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน อาทิ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมทางการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ซึ่งขณะนี้มีเทรนด์ที่น่าจับตามอง คือ อาหารฟังก์ชัน อาหารนวัตกรรมใหม่ อาหารทางการแพทย์ และอาหารอินทรีย์ จะช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจไทย ทำให้ไทยเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนที่มีระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรืออีอีซีรองรับไว้แล้ว
ท่ามกลางวิกฤตและความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกและในภูมิภาค ความท้าทายในโลกยังทวีความรุนแรงและซับซ้อนยิ่งขึ้น เกิดความเหลื่อมล้ำด้านการพัฒนา วิกฤตด้านอาหารและพลังงาน ภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ ประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปคครั้งนี้ จำเป็นต้องพร้อมรับมือ เร่งสร้างระบบความคุ้มครองทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดี เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและการลงทุน แก้ไขกฎระเบียบให้ทันสมัย ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนหรือการเป็นพันธมิตรเพื่อการพัฒนาในทุกระดับ
ติดตามข่าวสาร Bright Today ช่องทางอื่น ๆ
Website : BRIGHT TODAY
Facebook : BRIGHT TV
Line Today : BRIGHT TODAY