“คลัง” ยังไม่สรุปซื้อ “หุ้นเพิ่มทุน” ตามแผนควบรวม “ทหารไทย-ธนชาต” วงในเผยคลังพร้อมใส่เงินเพิ่มทุน 1 หมื่นล้านบาท รักษาสัดส่วนถือหุ้น 25%
เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีการลงนามบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (MOU) ระหว่าง 5 ฝ่าย ได้แก่ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ,ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ,ING Groep N.V. หรือ ING , บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) และ The Bank of Nova Scotia หรือ BNS เพื่อการรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทย และธนาคารธนชาต ไปเมื่อวานนี้ (26 ก.พ.) วันนี้ ผู้บริหารของทั้ง 5 กลุ่ม เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากลงนาม MOU แล้ว ขั้นตอนจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ (Due Diligence) ของทั้ง 2 ธนาคาร เพื่อตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก ซึ่งคาดว่าใช้เวลา 2-3 เดือน ก็จะได้ข้อตกลงขั้นสุดท้าย และเมื่อได้ข้อยุติทางธนาคารทหารไทยจะเรียกประชุมผู้ถือหุ้นวาระพิเศษเพื่อขออนุมัติเพิ่มทุน โดย ING จะเป็นผู้นำในการเพิ่มทุน โดยทุกอย่างจะจบในปีนี้
ทั้งนี้ ธนาคารทหารไทยจะต้องเพิ่มทุนประมาณ 70% ของมูลค่าธุรกรรมครั้งนี้ หรือประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยจะออกหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ ทุนธนชาต และ BNS ประมาณ 5-5.5 หมื่นล้านบาท และออกหุ้นเพิ่มทุนเสนอขายให้กระทรวงการคลัง ING และนักลงทุนบุคคลในวงจำกัดกับนักลงทุนรายใหม่หรือนักลงทุนรายเดิม 4-4.5 หมื่นล้านบาท ส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้นหลังการควบรวม ING และทุนธนชาตจะถือหุ้นในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 20%
“เราเล็งเห็นถึงโอกาสจากการรวมกิจการที่จะนำเอาจุดแข็งที่แตกต่างมาต่อยอด โดย TMB มีจุดเด่นเรื่อง Deposit Franchise และรูปแบบการให้บริการด้านการเงินที่แตกต่างจากธนาคารแบบดั้งเดิม (Traditional Bank) ขณะที่ TBANK เป็นผู้นำด้านสินเชื่อลูกค้ารายย่อย โดยเฉพาะธุรกิจเช่าซื้อ ดังนั้น ผู้บริหารและพนักงานจากทั้ง 2 ธนาคาร จึงยินดีที่จะได้มีโอกาสร่วมมือกันพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ และยกระดับประสบการณ์ทางการเงินที่ดียิ่งขึ้นไปอีกให้กับลูกค้า ในขณะเดียวกัน ด้วยขนาดกิจการที่ใหญ่ขึ้นก็จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยภายหลังการรวมกิจการ ธนาคารจะมีฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้นแตะระดับ 10 ล้านคน”นายปิติ กล่าว
นายจุมพล ริมสาคร รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะตัวแทนประธานกรรมการธนาคารทหารไทย กล่าวว่า การควบรวมกิจการของธนาคารทหารไทยและธนาคารธนชาต ถือว่าเหมาะสม ลงตัว และเกิดประโยชน์มากกว่าเดิมแน่นอน อีกทั้งยังเป็นการผนึกกำลังที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันให้ธนาคารมั่นคงมากขึ้น รวมถึงเป็นการสนับสนุนนโยบายรัฐที่เน้นสร้างเสถียรภาพให้กับสถาบันการเงิน
ส่วนการเพิ่มทุนในส่วนของกระทรวงการคลังนั้น นายจุมพล กล่าวว่า ปัจจัยที่กระทรวงการคลังจะใช้พิจารณา คือ ความคุ้มค่า และโอกาสการเติบโตในอนาคต โดยกระทรวงการคลังมีความพร้อมในเรื่องการจัดหาแหล่งเงินทุน เพื่อนำมาใช้ในการร่วมลงทุน แต่ยังพิจารณารายละเอียดอื่นๆกันต่อไป ทั้งนี้ ขอยืนยันว่ากระทรวงการคลังจะยังเป็นผู้ถือหุ้นหลักในธนาคารหลังการควบรวมกิจการเสร็จสิ้น
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังพร้อมจะใส่เงินเพิ่มทุน 1 หมื่นล้านบาท เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นไว้ที่ 25% หลังการควบรวมกิจการของทั้ง 2 ธนาคาร โดยเม็ดเงินจะมาจากผลตอบแทนจากกองทุนวายุภักษ์ 1