“คลัง” เผย 7 เดือนแรก รัฐบาลจัดเก็บรายได้กว่า 1.34 ล้านล้านบาทสูงกว่าเป้า 2.7% ขณะที่เศรษฐกิจเดือนเม.ย.ขยายต่อเนื่อง ตามการบริโภค-การใช้จ่ายในประเทศที่ขยายตัว แม้ส่งออกจะหดตัว 2.6%
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบ 2562 (ต.ค.2561-เม.ย.2562) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 1,345,774 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 43,761 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.4% และสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 35,378 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.7%
ทั้งนี้ การจัดเก็บรายได้ที่สูงกว่าประมาณการดังกล่าว เป็นผลการจัดเก็บรายได้ของหน่วยงานอื่นที่สูงกว่าประมาณการ 34,770 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35.5% กรมสรรพากรสูงกว่าประมาณการ 22,235 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.4% การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจสูงกว่าประมาณการ 20,986 ล้านบาท หรือคิดเป็น 19.7% และการจัดเก็บรายได้ของกรมศุลกากรที่สูงกว่าประมาณการ 6,026 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10.3%
อย่างไรก็ตาม ในส่วนการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตพบว่าต่ำกว่าประมาณการ 18,160 ล้านบาท หรือติดลบ 5%
นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษก สศค. กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนเม.ย. 2562 ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ตามการใช้จ่ายภายในประเทศที่ยังคงขยายตัว ซึ่งสะท้อนได้จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขยายตัว 1.6% ต่อปี การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวต่อเนื่องที่ 6.4% ต่อปี ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งที่ขยายตัวสูงถึง 16.9% ต่อปี ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศกลับมาขยายตัว นำโดยนักท่องเที่ยวอินเดีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย
สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนเอกชนในเดือนเม.ย. พบว่าปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน เนื่องจากการลงทุนหมวดเครื่องมือเครื่องจักร ส่วนการลงทุนในหมวดก่อสร้างยังคงชะลอตัว สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศที่หดตัว 5.4% ต่อปี และภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์หดตัว 20% ต่อปี ขณะที่การส่งออกสินค้าในเดือนเม.ย.จะยังคงหดตัว 2.6% ต่อปี ทำให้ 4 เดือนแรก การส่งออกหดตัว 1.9% ต่อปี
นายพรชัย กล่าวว่า ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศในเดือนเม.ย. ยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.2% ต่อปี ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออกอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงทรงตัวที่ 0.6% ต่อปี สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.1% ของกำลังแรงงาน สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนมี.ค.2562 อยู่ที่ 41.8% ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งเพดานไว้ไม่เกิน 60% ต่อ GDP
นอกจากนี้ เสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนเมษายน อยู่ในระดับสูงที่ 2.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ