รายงานพิเศษ : “แก้เกม” ไทยรักษาชาติ ปลดแอกยุบพรรค เดิมพัน “ทักษิณ”
ไม่น่าเชื่อว่าตัวเลข 7 พ.ย.ถึง 7 มี.ค. จะเป็นอายุพรรค “ไทยรักษาชาติ” ที่ก่อเกิดและดับหายไปจากการเมืองในเวลาเพียง 4 เดือน ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรค กรณีการเสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ เป็นแคนดิเดตนายกฯ เมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา ตามความผิดตามมาตรา 92 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พรป.) พรรคการเมือง เป็นกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
กลายเป็นพรรคการเมืองลำดับที่ 3 ในมือ “คนแดนไกล” ที่ถูกยุบพรรคต่อจากพรรค “ไทยรักไทย” ในปี 2550 และพรรค “พลังประชาชน” ในปี 2551 ซึ่ง “ทษช.” ถูกวางไว้เป็นพรรคอีกหนึ่งขาเดินคู่กับ “เพื่อไทย” ในการเลือกตั้ง 24 มี.ค. เพื่อเป็นอีกให้ฐานที่มั่นสำรองหากเกิดอุบัติเหตุกับเพื่อไทย ในการถูกยุบพรรคการเมือง แต่แล้ว “ความเป็นไป” จาก “บิ๊กเซอร์ไพรส์” เสนอแคนดิเดตนายกฯ เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ได้ส่งให้ “ไทยรักษาชาติ” ต้องดับสูญหายไปจากสารบบพรรคการเมืองทันที
โดยเฉพาะเส้นทางการเมือง “ปรีชาพล พงษ์พานิช” ผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากตระกูล “ชินวัตร” ต้องหยุดลงทันทีตลอด 10 ปี เป็นผลจาก “คำวินิจฉัย” 6 ต่อ 3 ในประเด็น “เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง” คณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ จากคำวินิจฉัยตุลาการฝ่ายข้างมาก 6 เสียงได้วินิจฉัยให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี แต่ฝั่งตุลาการฝ่ายข้างน้อย 3 เสียง วินิจฉัยเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง “ตลอดชีพ”
ทำให้ก่อนหน้านี้ระหว่างการต่อสู้คดียุบพรรค วงเจรจาใน “เซฟเฮาส์” ย่านถนนวิภาวดี ได้หาช่องทางแผน “สำรอง” รับคำวินิจฉัยในวันที่ 7 มี.ค. เพื่อยกทัพแกนนำคนสำคัญที่ย้ายมาจากเพื่อไทย ไปตั้ง “รกราก” ในพรรคเครือข่ายที่ถูกวางไว้ก่อนหน้านี้ เพราะตามกฎหมายถือว่าไม่ได้ห้ามให้ “สมาชิก” ติดกับโซ่ตรวนแห่งการยุบพรรคไปด้วย
ถึงแม้แกนนำระดับหัวกระทิจะหลุดไปจาก “ผู้สมัครส.ส.” โดยเฉพาะท่าที “จาตุรนต์ ฉายแสง” ประธานยุทธศาสตร์พรรค “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ประธานรณรงค์หาเสียง “ประภัสร์ จงสงวน” กรรมการยุทธศาสตร์ หรือ “วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล” ผู้สมัคร ส.ส.แพร่ จะเป็นกำลังหลักให้พรรคเครือข่าย พร้อมย้ายไป “เรือลำใหม่” เพื่อผันตัวเป็น “ผู้ช่วยหาเสียง” ตั้งหลักจัดแถวช่วยเรียกคะแนนเสียงให้ “ทัพหลวง” ใน 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนเลือกตั้ง
ขณะที่การ “แก้เกม” จากพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ผู้สมัครไทยรักษาชาติที่หายไปกว่า 174 เขต ซึ่งพบว่ามีประมาณ 70-90 เขตที่ “ไม่มี” ผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทยในพื้นที่ แต่ในฝั่งพรรค “เพื่อชาติ” ส่งผู้สมัครส.ส.อยู่ที่ 349 เขต ขณะที่พรรคประชาชาติ ส่งผู้สมัครที่ 215 เขต จึงมีแนวโน้มว่าคะแนนจากผู้สมัครส.ส.ไทยรักษาชาติที่หายไป หลายพื้นที่จะ “สวิงโหวต” ไปที่พรรคเครือข่ายที่แตกมาจากเพื่อไทย ส่วนบางพื้นที่เริ่มมีกระแสไปที่พรรค “อนาคตใหม่” ซึ่งส่งผู้สมัครทั้ง 350 เขต หรือผ่องถ่ายฐานเสียงไปพรรคการเมืองที่มี “จุดยืน” ไม่เอา คสช.
หรือกระทั่งสูตร “โหวตโน” หรือในช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” ให้พรรคกางเมืองใดเลย เพราะการ “โหวตโน” ครั้งนี้จะมีความหมายสำคัญ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 92 หากในเขตเลือกตั้งนั้นมีคะแนน “โหวตโน” มากกว่าคะแนนเสียงจากผู้สมัครที่ชนะการเลือกตั้งอันดับ 1 ในเขตนั้น การเลือกตั้งจะกลายเป็น “โมฆะ” โดย กกต.ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ แต่ผู้สมัคร ส.ส.ทุกคนที่ลงสมัครในเขตนั้นๆ จะหมดสิทธิลงสมัครเลือกตั้งในเขตนั้นได้อีกครั้งทันที
ที่แน่ๆ จากฐานคะแนน “ไทยรักษาชาติ” ที่หายไปยกแผง ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระทบไปถึงการรวบรวมเสียงหลังเลือกตั้ง 24 มี.ค. เมื่อกำลังรบในมือชุดใหญ่หายไปจากคำสั่งศาล ทำให้การ “หยั่งเสียง” ในสภาเพื่อเลือกนายกฯนั้น ต้องไปหวังคะแนนเสียงกับพรรคการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม “พลังประชารัฐ” เพื่อควบรวมกำลังสร้างแรงต้าน และปิดโอกาสไม่ให้ “พล.อ.ประยุทธ์” กลับมาครองอำนาจอีกคร้ัง ทำให้สถานการณ์ “อนาคตใหม่” เร่งสปีดทางการเมืองเพื่อช่วงชิงคะแนนในมือ “ไทยรักษาชาติ” จากการยุบพรรคครั้งนี้
ทั้งหมดจึงเป็นสถานการณ์ฝุ่นตลบ ภายหลังคำวินิจฉัย 9 ต่อ 0 สั่งยุบพรรค “ไทยรักษาชาติ” ที่กระดานในพรรคการเมืองฝ่ายต่อต้าน “คสช.” จะเร่งพลิกเกมเพื่อกลับมาวางกลยุทธ์ในโค้งสุดท้าย ส่งแรงกดดันให้ทุกคะแนนเสียงยิ่ง “มีค่า” ต่อความเป็นไปของ “คนแดนไกล” ภายหลังเลือกตั้งทั้งสิ้น
