เสวนา “ยุบไทยรักษาชาติ” เทียบเร็วกว่า “พลังประชารัฐ” อดีต ชี้ข้อกล่าวหา “ปฏิปักษ์” เกินความจำเป็น “สมชัย” มองสุดท้ายอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ “สุณัย” หวั่นนานาชาติไม่ยอมรับไทย
1 มี.ค.62-ที่อาคารมณียา ถ.เพลินจิต สมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ ร่วมกับสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ จัดเสวนา “กรณียุบพรรคไทยรักษาชาติ กับหลักนิติธรรมและสิทธิทางการเมือง” โดยนายวิญญัติ ชาติมนตรี สมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ กล่าวว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยมองว่าหลักนิติธรรมของประเทศไทยถือว่าล้มเหลว จากคนบังคับใช้กฎหมาย โดยคำร้องยุบพรรคไทยรักษาชาติ และคำร้องยุบพรรคพลังประชารัฐนั้นเป็นคำร้องตามมาตรา 92 ตามพรป.พรรคการเมือง โดยกกต.เป็นผู้รับเรื่องนี้ แต่ต่างกันที่ผู้ที่ถูกเสนอชื่อแคนดิแดตนายกฯ 2 พรรคมีความแตกต่างกันจากมาตรฐานของกกต. ทั้งที่ต้องให้นายทะเบียนกกต.ทำความเห็นมาแล้วต้องเสนอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งลงมติ แต่กรณีไทยรักษาชาติ กกต.ใช้เวลาเพียง 1 วันในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่างมีพยานหลักฐานครบแล้ว นอกจากนี้การกล่าวหาพรรคไทยรักษาชาติ การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยฯ ถือว่าเกินความจำเป็น ขณะที่การยุบพรรคพลังประชารัฐนั้น การเสนอพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ส่อมีการกระทำครอบงำยุบพรรคพลังประชารัฐ จากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและมีที่มาจากการยึดอำนาจ ตรงนี้ทำให้ประเทศชาติไม่ไปไหน
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กล่าวว่า วันนี้มาในฐานะอดีต กกต. ซึ่งในสมัยที่เป็นกกต. หากมีกรณีใดเกิดขึ้นจะตั้งอนุกรรมการไต่สวน หรืออนุกรรมการวินิจฉัยขึ้นมา เพื่อให้เป็นหลักประกันว่าในแต่ละกรณีได้ผ่านการไตร่ตรองรอบด้านแล้ว ซึ่งกระบวนการต้องใช้เวลาการทำงาน เพราะต้องยึดหลักความเป็นธรรม แต่ดีกว่าเร่งรัดแล้วเกิดความไม่เป็นธรรมกับพรรคการเมือง ส่วนกรณีพรรคไทยรักษาชาติถือว่ารวดเร็วอาจมองได้ 2 ด้าน 1.กกต.มีหลักฐานชัดเจน 2.เรื่องที่เกิดขึ้นต้อง กกต.ดำเนินการเร่งด่วนเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินก่อนวันเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. แต่ กกต.ไม่ได้ใช้ทางเลือกที่ตัวเองปลอดภัยมากกว่าทางเลือกที่ตัวเองไม่ปลอดภัย ถือว่ากกต.กล้าตัดสินใจเพื่อทำให้เกิดผลที่ชัดเจนกับการเมืองไทย แต่ผลการตัดสินจะมีคำวินิจฉัยอย่างไรอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ
ด้านนายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาองค์กร ฮิวแมน ไรต์ส วอตช์ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า นานาชาติมองเข้ามาในประเทศไทย ในกรณีการตัดสิทธิ์พรรคการเมืองเป็นไปตามหลักนิติรัฐหรือไม่ โดยข้อกล่าวหาว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยฯ จะมีปัจจัยนิติรัฐมากแค่ไหนต่อการตัดสินยุบพรรคไทยรักษาชาติ เรื่องนี้เหตุใดจึงได้ตัดสินได้อย่างรวดเร็ว เหตุใดจึงไม่ให้โอกาสการไต่สวนโดยเฉพาะองค์กรจัดการเลือกตั้งปฏิบัติหน้าที่เป็นกลางและโปร่งใสหรือไม่หากเทียบกับกรณีโต๊ะจีน จึงมีคำถามว่าการวินิจฉัยวันที่ 7 มี.ค.จะเป็นไปตามหลักนิติรัฐหรือไม่เช่นกัน เพราะในเวทีระหว่างประเทศจะถูกใช้เป็นเงื่อนไขที่นานาชาติจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศไทย หลังจากไม่มีสถานะเป็นปกติ แต่ขณะนี้จะกลายมีคำถามว่ามาตรฐานเหล่านี้จะบรรลุได้หรือไม่ อาทิ ที่มา 250 ส.ว. หรือการตีความพล.อ.ประยุทธ์เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ ดังนั้นกรณีไทยรักษาชาติที่เกิดขึ้นจะถูกตั้งคำถามจากนานาชาติอย่างมากต่อไป