“แบงก์ชาติ” ส่งทีมตรวจสอบเฉพาะด้านเข้าหารือผู้บริหารสถาบันการเงิน หลังพบสินเชื่อรถยนต์เริ่มมีคุณภาพด้วยลง ขณะที่ปี 2561 แบงก์ทั้งระบบมีกำไรรวมกัน 2.07 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10.8%
เมื่อวันที่ 15 ก.พ. นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.เตรียมส่งทีมตรวจสอบเฉพาะด้านเข้าหารือกับผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินที่มีการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาพบว่าสินเชื่อรถยนต์เริ่มมีคุณภาพด้อยลง และอัตราการปล่อยสินเชื่อขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่วนจะมีมาตรการใดออกบ้างนั้นจะต้องพิจารณาอีกครั้ง
ทั้งนี้ เมื่อปี 2561 สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อหนี้สินรวม ของสินเชื่อกลุ่มรถยนต์เพิ่มเป็น 1.66% ต่อสินเชื่อรวม จากปีก่อนที่อยู่ที่ 1.60% แต่น้อยกว่าปี 2559 ที่ NPLs อยู่ที่ 1.79%
นายสมชาย กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ ปี 2561 พบว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ขยายตัว 6% เทียบกับปีก่อนที่ขยายตัว สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้นต่อเนื่อง โดยการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นมาจากสินเชื่ออุปโภคบริโภคในทุกพอร์ต ซึ่งสอดคล้องกับการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดีและสินเชื่อธุรกิจในหลายประเภทที่ส่วนใหญ่มาจากการใช้สินเชื่อของธุรกิจขนาดใหญ่และ SME ที่วงเงินค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ แม้ว่าธุรกิจขนาดใหญ่บางส่วนจะมีการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้เพิ่มขึ้น แต่สินเชื่อธุรกิจ ซึ่งมีสัดส่วน 65.9 ของสินเชื่อรวม ขยายตัว 4.4% โดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ (ไม่รวมธุรกิจการเงิน) ขยายตัว 4.1 จากสินเชื่อภาคบริการในธุรกิจที่พักแรม ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากลูกหนี้บางรายที่ซื้อกิจการเครือโรงแรมในต่างประเทศ และสำหรับสินเชื่อธุรกิจ SME (ไม่รวมธุรกิจการเงิน) ขยายตัว 4.5
ขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภค ซึ่งมีสัดส่วน 34.1 ของสินเชื่อรวม ขยายตัว 9.4% เนื่องจาก 1.สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยขยายตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ก่อนมาตรการ Loan To Value (LTV) จะบังคับใช้ในเดือนเม.ย.ปีนี้ 2.สินเชื่อรถยนต์เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น หลังสิ้นสุดระยะเวลาถือครองรถยนต์คันแรก 5 ปี และ3.สินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น อาทิ สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีบ้านเป็นหลักประกัน สินเชื่อทะเบียนรถ และสินเชื่อสวัสดิการ
สำหรับคุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นปี 2561 สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อสินเชื่อรวม อยู่ที่ 2.93% ใกล้เคียงกับปีก่อนที่อยู่ที่ 2.91% โดยมียอดคงค้าง NPL อยู่ที่ 443,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 14,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงต่อเนื่องมาตั้งแต่สิ้นปี 2559 สะท้อนภาพรวมคุณภาพสินเชื่อที่เริ่มทรงตัว แม้ว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับโครงสร้างหนี้และการตัดหนี้สูญ
ส่วนสัดส่วนสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan: SM) ต่อสินเชื่อรวมปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.42% จากระดับ 2.55% ในปีก่อน โดยมียอดคงค้างทั้งสิ้น 366,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินสำรองอยู่ในระดับสูงที่ 668,000 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 67,000ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนเงินสำรองที่มีต่อเงินสำรองพึงกันเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 193.3%
นายสมชาย กล่าวว่า ในปี 2561 ระบบธนาคารพาณิชย์มีกำไรสุทธิ 207,200 ล้านบาท ขยายตัว 10.8% จากปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยตามสินเชื่อที่ขยายตัว และการลดลงของค่าใช้จ่ายการกันสำรอง แม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมชะลอตัวลงจากการยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงินผ่านช่องทางดิจิทัล และรายได้ค่านายหน้าจากธุรกิจประกันและกองทุนรวมจะลดลง ทำให้อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (ROA) เพิ่มขึ้น 1.11% จาก 1.04% ในปีก่อน
ขณะที่อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ดอกเบี้ยเฉลี่ย (NIM) ทรงตัวที่ 2.73% ระบบธนาคารพาณิชย์มีเงินกองทุนทั้งสิ้น 2,569,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 117,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการจัดสรรกกำไรเข้าเป็นเงินกองทุนเป็นสำคัญ ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (Common Equity Tier 1: CET1 ratio) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 18.3% และ15.8% ตามลำดับ